ด้วยความรักที่พระเจ้ามีต่อมวลมนุษย์จึงได้เกิดเหตุการณ์ที่เหนือธรรมชาติและเหนือคำบรรยายขึ้นที่ไม้กางเขน
เพราะพระเจ้าทรงเป็นความรัก เป็นความยุติธรรม และเป็นความชอบธรรม
“เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ที่บังเกิดมา
เพื่อผู้ใดที่เชื่อในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์” ยอห์น 3:16
“พระเจ้าไม่ทรงเห็นแก่คนมั่งคั่งมากกว่าคนยากจน
“เพราะฉะนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าจะประทานหมายสำคัญเอง ดูเถิด หญิงพรหมจารีคนหนึ่งจะตั้งครรภ์ และคลอดบุตรชายคนหนึ่ง และเขาจะเรียกนามของท่านว่า อิมมานูเอล” อิสยาห์7:14
“ด้วยมีเด็กคนหนึ่งเกิดมาเพื่อเรา มีบุตรชายคนหนึ่งประทานมาให้เรา และการปกครองจะอยู่ที่บ่าของท่าน และท่านจะเรียกนามของท่านว่า "ผู้ที่มหัศจรรย์ ที่ปรึกษา พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระบิดานิรันดร์ องค์สันติราช” อิสยาห์ 9:6
พระเยซูคริสต์ คือพระอังกูร จะทรงประทับนั่งบนพระที่นั่งของกษัตริย์ดาวิด
เพราะพระเจ้าทรงเป็นความรักมั่นคง และอดทนนาน...
"โอ พระบิดาของข้าพระองค์ ถ้าเป็นได้ขอให้ถ้วยนี้เลื่อนพ้นไปจากข้าพระองค์เถิด แต่อย่างไรก็ดี อย่าให้เป็นตามใจปรารถนาของข้าพระองค์ แต่ให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์" มัทธิว 26:39
“เมื่อพระองค์ทรงเป็นทุกข์มากนักพระองค์ยิ่งปลงพระทัยอธิษฐาน พระเสโท(เหงื่อ)ของ พระองค์เป็นเหมือนโลหิตไหลหยดลงถึงดินเป็นเม็ดใหญ่” ลูกา 22:44
ทำไมพระเยซูจึงร้องขอพระบิดา ว่า
อะไรอยู่ในถ้วยนั้น???
...ที่ทำให้พระองค์อยู่ในอารมณ์ที่ทุกข์หนักอย่างแสนสาหัสในฝ่ายวิญญาณ และพระองค์ได้ร้องขอต่อพระบิดาขอให้เลื่อนถ้วยนั้นไปก่อน..หากเป็นไปได้...และขณะเดียวกันนั้นพระองค์ยังได้ขอให้สาวกทั้งสามคนที่ไปด้วยคือ เปโตร ยอห์น และยากอบ ให้เฝ้าและอธิษฐานอยู่(อย่างไรก็ตาม เมื่อพระองค์กลับจากอธิษฐานทั้ง 3ครั้ง พวกเขาทั้งสามคนก็ยังหลับอยู่)
ลูกาได้บรรยายไว้ว่า ก่อนที่พระองค์จะไปอธิษฐานในครั้งที่สามนั้น ฑูตสวรรค์ได้ถูกส่งมาให้กำลังแก่พระองค์ (ลูกา 22:43) และหลังจากนั้นพระองค์ก็ทรงทุกข์หนักและพระองค์ทรงอธิษฐานอย่างหนักยิ่งขึ้นจนมีเหงื่อเป็นเลือดหยดลงบนพื้น (ลูกา 22:44) ผู้เขียนพระคัมภีร์ได้บรรยายบอกเป็นนัยว่า... พระองค์กำลังต่อสู้ฝ่ายวิญญาณอย่างหนัก กับความบาปที่กำลังก่อตัวขึ้นในจิตวิญญาณของพระองค์... พระองค์ทรงรู้สึกถึงโซ่ตรวนของความบาปได้มาพันรัดอัดแน่นอยู่รอบพระกายและพระวิญญาณของพระองค์ พระองค์ถูกอัดแน่น เหมือนกำลังอยู่ในความมืดมิดหมดหนทาง รู้สึกได้ถึงความหวาดกลัว กระวนกระวาย สิ้นหวัง หดหู่อย่างที่สุดเพราะความบาปของทั้งโลกที่พระองค์กำลังแบกรับอยู่นั้น และพระองค์ก็คาดการณ์ล่วงหน้าถึงการที่พระองค์จะต้องถูกตัดขาดความสัมพันธ์จากพระบิดา เพราะความบาปที่พระองค์แบกรับอยู่นั้นจึงทำให้พระองค์ทรงทุกข์หนักจนเหงื่อกลายเป็นเลือด...
พระเยซูทรงทราบว่าถ้วยนั้นคือ.. ถ้วยแห่งพระพิโรธของพระเจ้าพระบิดา !!! เป็นถ้วยแห่งการพิพากษาอย่างยุติธรรมและตรงไปตรงมา ในถ้วยนี้ไม่มีความเมตตาอยู่เลย เป็นการพิพากษาตัดสินลงโทษความบาปผิดของมนุษย์ทั้งโลกล้วนๆ การลงโทษความบาปทั้งหมดนี้จะต้องมาตกอยู่ที่พระองค์แต่เพียงผู้เดียว ซึ่งเพื่อบรรลุพันธกิจที่พระบิดาใช้พระองค์มาทำนั้น พระองค์จะต้องดื่มถ้วยนั้นจนหมดไม่ให้เหลือแม้แต่หยดเดียว!
และพระเยซูเองได้บอกกับเหล่าสาวกล่วงหน้าแล้ว หลังจากรับประทานปัสกากับพวกเขาในคืนนั้นว่า.. "ในคืนวันนี้ท่านทุกคนจะทิ้งเราเพราะเรา ด้วยมีคำเขียนไว้ว่า `เราจะตีผู้เลี้ยงแกะ และแกะฝูงนั้นจะกระจัดกระจายไป'” มัทธิว 26:31
และพระองค์ทรงทราบว่า ด้วยพระประสงค์ของพระบิดาที่ต้องการไถ่มนุษยชาติจากความบาปที่เกิดขึ้นเมื่อครั้งที่อาดัมได้ทำผิดต่อพระเจ้านั้น ซึ่งทุกคนที่เกิดมาภายหลัง ก็เกิดมาในความบาปทั้งสิ้นและมีชีวิตในความบาปโดยไม่รู้ตัว
มนุษย์ทั้งโลกตกอยู่ในความบาปและนี่คือสิ่งที่พระเจ้ามองเห็นมนุษย์เมื่อครั้งที่พระเยซูยังไม่มาไถ่บาป :
“…ไม่มีผู้ใดเป็นคนชอบธรรมสักคนเดียว
เขาทั้งปวงเป็นคนไร้ค่าเหมือนกันทั้งสิ้น
ไม่มีสักคนเดียวที่ทำดี
เขาใช้ลิ้นของเขาในการล่อลวง
ภายใต้ริมฝีปากของเขามีพิษของงูร้าย
ด้วยมนุษย์นั้นดำเนินชีวิตอยู่ในความบาป และความบาปนั้นก็มาปิดกั้นความสัมพันธ์ที่มนุษย์เคยมีต่อพระเจ้า
จริงๆแล้วพระเจ้าได้ใส่ความรู้เรื่องของพระองค์ไว้ในจิตใจของมนุษย์ทุกคนอยู่แล้ว ลึกๆในใจ มนุษย์ทุกคนรู้ดีว่ามีพระเจ้า แต่ความบาป ความมืดดำและการล่อลวงอันแยบยลของเจ้าผู้ครองโลก (ซาตานและลูกสมุนของมัน)นั้นได้พยายามปิดหูปิดตามนุษย์ให้หลงลืมเรื่องของพระผู้สร้างของเขา และ “เขาใช้ความชั่วร้ายปิดกั้นความจริง (เรื่องพระเจ้า)” โรม 1:18
และ“แม้เขาจะรู้จักพระเจ้า แต่พวกเขาก็ไม่ได้ถวายพระเกียรติสิริแด่พระองค์สมกับที่ทรงเป็นพระเจ้า ทั้งยังไม่ได้ขอบพระคุณ แต่กลับคิดในสิ่งไร้สาระ และจิตใจอันโง่เขลาของพวกเขาก็มืดมัวไป” โรม 1:21
แต่ด้วยพระเมตตาอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ที่มีต่อมวลมนุษยชาติ...
และเพราะพระเจ้าทรงดำรงในความยุติธรรม...
ซึ่ง“บาปนั้นได้เข้ามาในโลกเพราะมนุษย์คนเดียว (คืออาดัม) และบาปนำความตายมา และโดยทางนี้เองความตายจึงมาถึงมวลมนุษย์เพราะทุกคนได้ทำบาป” โรม 5:12
และแม้ว่า... “ค่าตอบแทนของความบาปคือความตาย” (โรม 6:23) คือจะต้องมีการตายเกิดขึ้นเพื่อทดแทนความบาปของมวลมนุษย์ แต่พระเจ้าพระบิดาทรงรักมนุษย์มาก แม้ว่าพระองค์ทรงเห็นแล้วว่าไม่มีผู้ใดเลยที่ชอบธรรมในสายพระเนตรของพระองค์ (โรม 3:10-18) และ “มนุษย์ทุกคนก็เป็นเหมือนลูกแกะที่พลัดหลงไปจากฝูง แต่ละคนก็หันไปตามทางของตน” (อิสยาห์ 53:6)
อย่างไรก็ตามพระองค์ก็ไม่อยากให้มนุษย์ต้องตาย หรือหลงหายอยู่ในโลกที่มืดมิดอีกต่อไป
พระองค์ต้องการ พาเราทุกคนกลับบ้านที่เที่ยงแท้ถาวร
พระองค์ไม่ต้องการให้ผู้ใดต้องตกลงไปในบึงไฟนรกเพราะการตายและถูกตัดขาดจากพระเจ้า
พระองค์ต้องการให้มนุษย์กลับมามีความสัมพันธ์กับพระองค์เหมือนครั้งที่ทรงสร้างอาดัมและเอวาในสวนเอเดนนั้น
...มนุษย์ที่พระองค์ทรงรักมากกว่าสิ่งที่ทรงสร้างทุกชนิด
มนุษย์ที่พระองค์ทรงปั้นด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เองให้มีรูปลักษณ์เหมือนพระองค์
...เพราะพระองค์ไม่ต้องการให้มนุษย์ตายไปจากพระสิริของพระองค์...
พระเยซู... พระองค์ทรงบริสุทธิ์ และปราศจากความบาปโดยสิ้นเชิง
เพื่อสำแดงความยุติธรรม..พระบิดาจึงได้ใช้ให้พระองค์เข้ามาในโลก...
พระเยซูมาในรูปลักษณ์ที่เหมือนพวกเราทุกคนเพราะมนุษย์นั้นมีความบาปโดยผ่านทางเนื่อหนัง “พระเจ้าทรงใช้พระบุตรของพระองค์มาในสภาพเช่นเดียวกับมนุษย์ ที่เป็นคนบาป เพื่อเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป โดยการกระทำเช่นนี้พระองค์จึงได้ตัดสินลงโทษบาปในมนุษย์ที่อยู่ในเนื้อหนัง” โรม 8:3
การเสด็จมาในโลกของพระองค์เมื่อสองพันกว่าปีที่แล้วนั้น ก็เพื่อทำพันธกิจอันยิ่งใหญ่เพื่อกอบกู้มวลมนุษยชาติให้พ้นจากบาปและจากความตายซึ่งเป็นผลตอบแทนของความบาปนั้น และเพื่อมนุษย์จะได้กลับมามีความสัมพันธ์กับพระเจ้าเหมือนเมื่อครั้งที่พระองค์ทรงสร้างโลกใหม่ๆ
“เป็นน้ำพระทัยของพระยาห์เวห์ที่จะให้ท่าน(พระเยซูคริสต์)ฟกช้ำด้วยความระทมทุกข์ เมื่อพระองค์ทรงกระทำให้วิญญาณของท่านเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป...” อิสยาห์53:10
ซึ่งเหตุการณ์คล้ายๆ สิ่งเดียวกันนี้ พระเจ้าได้ทรงบอกเป็นนัยๆ ก่อนแล้วเมื่อครั้งที่พระองค์ทรงสั่งให้อับราฮัมนำอิสอัคบุตรชายคนเดียวของท่านไปเผาบูชาบนแท่นบูชา แต่นั่นพระเจ้าทรงใช้เพื่อทดสอบความเชื่อของท่าน และเมื่อพระองค์ทรงเห็นการเชื่อฟังของอับราฮัมแล้ว จึงได้จัดเตรียมลูกแกะไว้ให้เผาบูชาแทน (ปฐมกาล 22) แต่เหตุการณ์ครั้งนั้นเป็นการบอกล่วงหน้าเรื่องการลบล้างบาปโดยพระบุตรองค์เดียวของพระองค์เอง
พระบิดาทรงทราบเสมอว่าการทรงไถ่มวลมนุษยชาติที่เต็มไปด้วยสิ่งที่น่าสะอดสะเอียนนั้น... มีเพียงความบริสุทธิ์ของพระเจ้าเท่านั้นที่จะสามารถลบล้างได้ องค์พระเยซูยังทราบอีกว่า พระบิดาเกลียดความบาป เพราะ“ความชั่วช้า (บาป)ของเจ้าทั้งหลายได้กระทำให้เกิดการแยกระหว่างเจ้ากับพระเจ้า...” อิสยาห์ 59:2
และด้วยพระเยซูทรงรักพระบิดามาก พระองค์ไม่ต้องการถูกตัดขาดความสัมพันธ์เลยแม้แต่เสี้ยววินาที พระองค์จึงร้องขอว่า “ถ้าเป็นได้ขอให้ถ้วยนี้เลื่อนพ้นไปจากข้าพระองค์เถิด”
“พระองค์กลัวการถูกตัดขาดความสัมพันธ์จากพระบิดา” ต่างหาก เพราะพระบิดาและพระบุตรนั้นมีความแนบสนิทเป็นหนึ่งเดียวมาตลอด และการถูกตัดขาดแม้เพียงเสี้ยววินาที่เดียวก็ไม่เป็นที่ปรารถนาของทั้งพระบุตรและพระบิดาเลย แต่พระองค์ก็ต้องเชื่อฟังพระบิดา และทำตามน้ำพระทัยพระองค์ เพื่อพันธกิจการทรงไถ่มวลมนุษย์ชาติอันยิ่งใหญ่จะสำเร็จตามพระประสงค์
หลังจากอธิษฐานที่สวนเกทเสมณี พระองค์ไม่ได้งีบหลับเลยตลอดทั้งคืนนั้น และทันใดนั้นพระองค์ก็ถูกจับไปและสาวกของพระองค์ก็ทิ้งพระองค์ไปหมด พระองค์ถูกนำไปสอบสวนหาความผิด ถูกถ่มน้ำลายรดหน้า ถูกเฆี่ยนตีอย่างทารุณโดยทหารโรมัน ถูกดูถูกเหยียดหยามจากชาวยิวที่ไม่เชื่อว่าพระองค์เป็นพระเมสสิยาห์
“ด้วยคนเป็นอันมากตะลึงเพราะท่านฉันใด หน้าตาของท่านเสียโฉมมากกว่ามนุษย์คนใด
และรูปร่างของท่านก็เสียโฉมมากกว่าบุตรทั้งหลายของมนุษย์คนใด” อิสยาห์ 52:14
“ท่านได้ถูกมนุษย์ดูหมิ่นและทอดทิ้ง เป็นคนที่รับความเศร้า
โศกและคุ้นเคยกับความระทมทุกข์
และดังผู้หนึ่งซึ่งคนทนมองดูไม่ได้
ท่านถูกดูหมิ่น
และหอบความเศร้าโศกของเราไป
กระนั้นเราทั้งหลายก็ยังถือว่าท่านถูกตี
คือพระเจ้าทรงโบยตีและข่มใจ
ท่านฟกช้ำเพราะความชั่วช้าของเรา
การตีสอนอันทำให้เราทั้งหลายปลอดภัยนั้นตกแก่ท่าน...
ท่านถูกบีบบังคับและท่านถูกข่มใจ
ถึงกระนั้นท่านก็ไม่ปริปาก
เหมือนลูกแกะที่ถูกนำไปฆ่า
และเหมือนแกะที่เป็นใบ้อยู่หน้าผู้ตัดขนของมันฉันใด
ท่านก็ไม่ปริปากของท่านเลยฉันนั้นท่านถูกนำไปจากคุก
และผู้ใดเล่าจะประกาศเกี่ยวกับพงศ์พันธุ์ของท่าน
เพราะท่านต้องถูกตัดออกไปจากแผ่นดินของคนเป็น
ต้องถูกตีเพราะการละเมิดของชนชาติของเรา”
พระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขนตั้งแต่ 9 โมงเช้าของวันศุกร์
6 ชั่วโมงแห่งการทนทุกข์ทรมานอย่างที่สุดบนไม้กางเขนที่ต่อเนื่องมาจากการไม่ได้หลับเลยทั้งคืน ทั้งยังถูกเฆี่ยนตีอย่างแสนสาหัส ถูกดูถูกเหยียดหยาม ดูหมิ่นดูแคลนต่างๆนาๆ ทั้งๆที่พระองค์ไม่เคยทำความบาปเลย
- ในฝ่ายร่างกายนั้น: พระองค์ทรงเหน็ดเหนื่อยและเจ็บปวดทรมานจากบาดแผลที่ถูกเฆี่ยนตีและพระองค์ไม่ได้นอนมาทั้งคืน ความอ่อนระโหยโรยแรงจากการแบกไม้กางเขนที่หนักอึ้ง ผ่านหาทางอันขรุขระ ล้มลุกคลุกคลานตั้งแต่จากในเมืองออกมาที่เขากลโกธาซึ่งเป็นระยะทางที่ไกลมาก และในระหว่างทางนั้นก็มีทหารโรมัน รวมทั้งชาวยิวและพวกฟาริสีที่เกลียดชังพระองค์คอยติดตาม ด่าทอ เสียดสี และเหยียดหยามพระองค์มาตลอดเส้นทาง
เมื่อมาถึงเขากลโกธานั้น พระองค์ก็ต้องทนต่อความเจ็บปวดจากการถูกตอกตะปูที่มือและเท้า และจากน้ำหนักตัวที่ถ่วงจากการตรึงมือและเท้าบนไม้กางเขนนั้น ทำให้พระองค์ต้องออกแรงต้านอย่างหนักเพื่อที่จะหายใจได้ในแต่ละครั้ง อีกทั้งยังอยู่ท่ามกลางแสงแดดที่แผดเผา ร้อนแรงและกระหาย ที่ศีรษะของพระองค์มีมุงกุฎหนามที่ถูกพวกทหารโรมันนำมาสวมให้เพื่อล้อเลียนพระองค์ซึ่งมันทิ่มแทงศีรษะพระองค์และมีพระโลหิตไหลออกมา พระองค์ต้องเจ็บปวดทรมานจากบาดแผลตามตัวที่ถูกเฆี่ยนนั้น ไม่มีคนบาปคนไหนเลยในโลกที่ถูกกระทำการทารุณทั้งทางร่างกายและจิตใจมากมายเยี่ยงพระองค์
- ฝ่ายวิญญาณ:...ที่บนไม้กางเขนนั้น พระเยซูทรงแบกรับความบาปของมวลมนุษยชาติไว้จนหนักอึ้ง พระองค์รับรู้ความรู้สึกทั้งหมดของคนที่ตกอยู่ในความบาป
ความหวาดกลัว ความอับอาย การรู้สึกผิด การเกลียดชังตัวเองเพราะความบาป ความทุกข์ใจ ความสับสน ความกระวนกระวายใจ ความเศร้าสลด หดหู่และสิ้นหวังอย่างที่สุด ของคนทั้งโลกที่มากองรวมกันไว้ที่พระองค์เพียงผู้เดียว คุณลองจินตนาการดูว่า...แม้ในความระทมทุกข์ของเราลำพังเพียงคนเดียวนั้น บางครั้งที่เรามองไปทางใดก็มืดมนไปหมด ไม่เห็นแสงสว่าง หาทางออกไม่เจอ ด้วยความทุกข์แสนสาหัสนั้น บางคนถึงกับอยากฆ่าตัวตายตายให้รู้แล้วรู้รอดไป
แล้วความทุกข์และความบาปผิดที่ท่วมท้นของมนุษย์ทั้งโลก ที่ได้ไปกองอยู่บนบ่าของพระองค์เพียงผู้เดียวจะหนักกว่านั้นสักเพียงใด ????
และการถูกทอดทิ้งจากพระบิดาที่รักของพระองค์นั้นทำให้จิตใจของพระองค์ ถูกโอบล้อมไปด้วยความสิ้นหวัง และโดดเดี่ยว ไม่มีที่พึ่งเลย ทั้งๆที่โดยปกติแล้วพระองค์แนบสนิทเป็นหนึ่งเดียวกับพระบิดา และพึ่งพาพระบิดามาโดยตลอด!
ด้วยในช่วงเวลานั้นพระบิดาใด้ทิ้งพระองค์ไป เพราะความบาปที่ท่วมทับในพระองค์
“ในชั่วขณะหนึ่งของความโกรธ เราเบือนหน้าหนีไปจากเจ้า” (อิสยาห์ 54:8)
ด้วยความบาปทั้งมวลนั้นเป็นสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า เพราะพระองค์ทรงเกลียดความบาปแม้ว่าความบาปนั้นจะอยู่ที่พระบุตรของพระองค์เองก็ตาม
เพราะ “คนโอ้อวด (คนบาป) ไม่อาจยืนอยู่ต่อหน้าพระองค์ได้
ในวันนั้น เกิดความมืดมัวไปทั่วทั้งแผ่นดินตั้งแต่เที่ยงวันไปจนถึงบ่ายสามโมง
ราวบ่ายสามโมงพระองค์ร้องเสียงอันดังว่า “เอโลอี เอโลอี สะบักธานี” ซึ่งแปลว่า “พระเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์ ทำไมทรงทอดทิ้งข้าพระองค์” (มัทธิว 27:45-46)
เมื่อพระองค์ทรงทราบว่าทุกสิ่งสำเร็จครบถ้วน...ณ เวลานั้นโดยฝ่ายวิญญาณ พระองค์ก็ได้ดื่มถ้วยพระพิโรธของพระบิดาจนหมดทุกหยดแล้ว
“และขณะนั้นเองม่านในพระวิหารก็ขาดเป็นสองท่อนตั้งแต่บนจรดล่าง เกิดแผ่นดินไหว ศิลาแตกออกจากกัน” (มัทธิว 27:51)
การสิ้นพระชนม์ของพระเยซูที่ไม้กางเขนนั้น เป็นการชนะอำนาจวิญญาณชั่วร้าย ชนะความบาปและชนะความตายทั้งสิ้นที่พวกบรรดาผีมารซาตาน เทพผู้ครอง ศักดิเทพ อิทธิเทพ และเทพต่างๆ ได้นำเข้ามาสู่โลกมนุษย์ตั้งแต่ครั้งที่ซาตานได้ตกลงมาจากสวรรค์เมื่อครั้งโบราณกาล
และหลังจากนั้น 3 วัน พระบิดาได้ทำให้พระองค์ฟื้นขึ้นมาจากความตาย (มัทธิว 28)... เพราะพระเจ้าทรงตรัสไว้ว่า...“เราทอดทิ้งเจ้าชั่วประเดี๋ยวหนึ่ง แต่ด้วยความเมตตาอย่างลึกซึ้ง เราจะพาเจ้ากลับมา” อิสยาห์ 54:7
ทั้งหมดนี้เป็นการแสดงออกถึงความยุติธรรมและความรักอันยิ่งใหญ่ที่พระเจ้ามีต่อมนุษย์ทุกคนโดยผ่านทางพระบุตรของพระองค์คือองค์พระเยซูคริสต์
“เพราะว่าถ้าโดยการละเมิดของคนนั้นคนเดียว เป็นเหตุให้ความตายครอบงำอยู่โดยคนนั้นคนเดียว มากยิ่งกว่านั้นคนทั้งหลายที่รับพระคุณอันไพบูลย์และรับของประทานแห่งความชอบธรรม ก็จะดำรงชีวิตและครอบครองโดยพระองค์ผู้เดียว คือพระเยซูคริสต์)ฉะนั้นการพิพากษาลงโทษได้มาถึงคนทั้งปวงเพราะการละเมิดของคนๆเดียวฉันใด ความชอบธรรมของพระองค์ผู้เดียวก็นำของประทานแห่งพระคุณมาถึงทุกคนฉันนั้น คือความชอบธรรมแห่งชีวิต” โรม 5:17-18
ม่านในพระวิหารขาด เมื่อพระองค์ทำสำเร็จนั้น แสดงถึงการที่พระองค์ทรงเป็นสื่อกลางเป็นปุโรหิตหลวงให้เราได้คืนดีกับพระเจ้าโดยผ่านทางพระนามของพระองค์ การติดต่อกับพระเจ้าไม่ต้องใช้ปุโรหิตที่เป็นมนุษย์อีกต่อไป...
ต่อจากนี้ก็เป็นหน้าที่ของเราว่าเราจะรับความรอด ความรักและความเมตตา โดยการกลับมามีความสัมพันธ์กับพระเจ้าหรือไม่???
“เพราะว่าคนเป็นอันมากเป็นคนบาปเพราะคนๆเดียวที่มิได้เชื่อฟังฉันใด
คนเป็นอันมากก็เป็นคนชอบธรรมเพราะพระองค์ผู้เดียว (พระเยซู)ที่ได้ทรงเชื่อฟังฉันนั้น” โรม5:19
ขอเชิญชวนให้พวกเรา มนุษย์ทุกคนกลับมาให้ถึงบ้านแท้ของเราโดยทางพระองค์....
การสิ้นพระชนม์ของพระเยซูที่บนไม้กางเขนนั้น และการเป็นขึ้นมาจากความตายของพระองค์นั้น เป็นเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่และสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ
…ซึ่งสิ่งที่เป็นไปทั้งหมดนั้น ไม่สามารถบรรยายให้เข้าใจอย่างลึกซึ้งทั้งหมดได้ด้วยภาษาของมนุษย์เพราะเป็นพันธกิจเหนือธรรมชาติที่ทำสำเร็จได้โดยพระเจ้าเท่านั้น!!
เป็นเรื่องการไถ่วิญญาณของมนุษย์ซึ่งโดยธรรมชาตินั้นเป็นสิ่งที่เป็นอมตะหรือไม่มีวันตาย และเราผู้ซึ่งตอบสนองต่อการทรงไถ่ของพระเจ้าด้วยสุดหัวใจนั้น เมื่อเราละจากกายเนื้อนี้แล้ว พระเจ้าก็จะรับจิตวิญญาณของเราให้กลับอยู่กับพระองค์พระผู้สร้างของเราคือองค์นิรันดร์ในแผ่นดินสวรรค์
ด้วยเหตุนี้เอง ผู้เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริงจึงไม่กลัวความตาย เพราะสันติสุขและความชื่นชมยินดีแห่งการได้มีชีวิตนิรันดร์และการได้กลับไปอยู่กับพระผู้สร้างนั้นเป็นความหวังใจของเราทุกคนในชีวิตหลังความตาย และขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่นั้น เราจึงมีชีวิตอยู่ในความหวังอันหวังได้จริงๆ ทั้งยังอยู่ในความรัก ในกำลัง ในฤทธิ์เดชและในพระคุณของพระเจ้า
คำตอบเดียวคือ..เลือดและเนื้อของพระเยซูสามารถลบล้างบาปทั้งหมดของมนุษย์ได้... เพราะว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า...องค์บริสุทธิ์...บริสุทธิ์...และบริสุทธิ์... จึงสามารถทดแทนความบาปของมนุษย์ทั้งโลกได้!!!
ยิ่งกว่านั้น
เราจะพ้นจากพระพิโรธโดยพระองค์"
โรม 5:9
“ดังที่พระองค์ได้ทรงโปรดให้พระบุตรมีอำนาจเหนือเนื้อหนังทั้งสิ้น เพื่อให้พระบุตรประทานชีวิตนิรันดร์แก่คนทั้งปวงที่พระองค์ทรงมอบแก่พระบุตรนั้น และนี่แหละคือชีวิตนิรันดร์ คือที่เขารู้จักพระองค์ ผู้ทรงเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียว และรู้จักพระเยซูคริสต์ที่พระองค์(หรือพระยาห์เวห์พระบิดา)ทรงใช้มา”
ยอห์น 17:2-3
Holy...Holy...Holy!!!! เราขอสรรเสริญพระผู้ไถ่ของเราว่า บริสุทธิ์ บริสุทธิ์ พระเจ้าองค์บริสุทธิ์ องค์จอมกษัตริย์พระผู้ไถ่ของเรา ฮาเลลูยา....
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น