วันอังคารที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2552

จดหมายรักจากพระบิดา

My Child,
ถึง ลูกที่รักของพ่อ


You may not know me, but I know everything about you. เจ้าอาจไม่รู้จักพ่อ แต่พ่อรู้จักเจ้าดี (Ps 139:1) I know when you sit down and when you rise up. พ่อรู้เมื่อเจ้านั่งลง และรู้เมื่อเจ้าลุกขึ้น (PS. 139:2) I am familiar with all your ways. พ่อคุ้นเคยกับทางทั้งสิ้นของเจ้า (Ps. 139:3) Even the very hairs on your head are numbers. แม้แต่เส้นผมบนศีรษะของเจ้า พ่อก็นับไว้แล้วทุกเส้น (Mat. 10:29-31) For you made in my image. ด้วยเจ้าถูกสร้างขึ้นตามแบบรูปร่างของพ่อ (Gen. 1:27) In me you live and move and have your being. และเจ้าก็มีชีวิต และเคลื่อนไหวอยู่ในพ่อนี่เอง (Act. 17:28) (ด้วยว่า “เรามีชีวิตและเคลื่อนไหวอยู่ในพระองค์”) For you are my offspring. เพราะเจ้าเป็นเชื้อสายของพ่อ (Act. 17:28) I knew you even before you were conceived. พ่อรู้จักเจ้า ก่อนที่พ่อได้ก่อร่างสร้างตัวเจ้าที่ในครรภ์ และก่อนที่เจ้าจะคลอดจากครรภ์ พ่อก็ได้กำหนดตัวเจ้าไว้แล้ว (Jer. 1: 4-5) I chose you when I planned creation. เจ้าได้รับการกำหนดและรับการแต่งตั้งให้เป็นที่ถวายสรรเสริญแด่พระสิริของพ่อ (Ephesians 1:11-12) You were not a mistake, for all your days are written in my book. เจ้าเกิดมาไม่ใช่จากความผิดพลาด แต่วันทั้งหลาย ทุกๆวันของเจ้าก็ได้ถูกบันทึกไว้แล้วในสมุด ตั้งแต่เมื่อครั้งยังไม่เกิดวันนั้นขึ้นเลย (Ps. 139: 15-16) I determined the exact time of your birth and where you would live. พ่อได้กำหนดเวลาที่เจ้าเกิด และได้ไกำหนดเขตแดนให้เจ้าอยู่ (Act. 17:26) You are fearfully and wonderfully made.วิธีการที่พ่อได้สร้างเจ้านั้น น่าเกรงขามและอัศจรรย์ยิ่งนัก (Ps. 139:14) I knit you together in your mother’s womb. พ่อได้ปั้นส่วนภายในของเจ้า และทอเจ้าเข้าด้วยกันในครรภ์มารดาของเจ้า (Ps. 139:13) And brought forth on the day you were born. และพ่อก็ได้สอนเจ้าตั้งแต่เด็กๆมาจนกระทั้งบัดนี้ (Ps. 71:17-18) I have been misrepresented by those who don’t know me. เรื่องราวเกี่ยวพ่อนั้น ก็ถูกทำให้บิดเบือนไป จากผู้ที่ไม่รู้จักพ่อ (John 8:41-44) I am not distant and angry, but am the complete expression of love. พ่อไม่ได้อยู่ไกลหรือโกรธเจ้า แต่พ่อเป็นความรักที่บริบูรณ์ (1 John 4:7-21) And it is my desire to lavish my love on you. และดูเถิด.. พ่อได้ประทานความรักนั้นแก่เจ้า (1 John 3:1) Simply because you are my child and I am your father. ด้วยเจ้าจะได้ชื่อว่า”เป็นลูกของพ่อ” และพ่อก็ “เป็นพ่อของเจ้า” (1 John 3:1) I offer you more than your earthly father ever could. พ่อให้เจ้า ได้มากเกินกว่าที่พ่อบนโลกจะให้เจ้าได้ (Mat. 7:11) For I am the perfect father. ด้วยพ่อนั้น เป็นพ่อที่ดีรอบคอบที่ทรงสถิตย์อยู่ในสวรรค์ (Mat. 5:48) Every good gift that you receive comes from my hand. ของประทานอันดีทุกอย่างที่เจ้าได้รับนั้น มาจากน้ำมือของพ่อที่ส่งมาจากสวรรค์ (James 1:17) For I am your provider and I meet all your needs. ด้วยว่าพ่อ เป็นผู้ที่สามารถประทานทุกสิ่งให้ตามความต้องของเจ้า (Mat. 6:31-33) My plan for your future has always been filled with hope. พ่อรู้แผนงานที่พ่อมีไว้สำหรับเจ้า ซึ่งเป็นแผนงานเพื่อสวัสดิภาพ ไม่ใช่เพื่อทุกขภาพ เพื่อจะให้อนาคตและความหวังใจแก่เจ้า (Jeremiah 29:11) Because I love you with an everlasting love. ด้วยพ่อรักเจ้าด้วยความรักนิรันดร์ เพราะฉะนั้นพ่อจึงมีความรักมั่นคงต่อเจ้าสืบไป (Jer. 31:3) My thought toward you are countless as the sand at seashore. ความคิดคำนึงที่พ่อมีต่อเจ้า นั้นนับไม่ถ้วนดังเม็ดทราย (Ps. 139:17-18) And I rejoice over you with singing. และพ่อก็รื่นเริงยินดีเมื่อเจ้าร้องเพลง (เศฟันยาห์ 3:17) I will never stop doing good to you. พ่อจะไม่มีวันหยุดที่จะทำดีต่อเจ้า (Jer. 32:40) For you are my treasured possession. ด้วยเจ้าเป็นกรรมสิทธิ์ของพ่อ ที่พ่อได้เลือกสรรไว้แล้ว (Exodus อพยพ 19:5) I desire to establish you with all my heart and all my soul. พ่อปรารถนาที่จะทำดีต่อเจ้าด้วยสุดจิตสุดใจของพ่อ (Jer. 32:41) And I want to show you great and marvelous things. และพ่อต้องการที่จะบอกถึงสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งเจ้าไม่รู้นั้น ให้แก่เจ้า (Jer.33:3) If you seek me with all your heart, you will find me.ถ้าเจ้าแสวงหาพ่อด้วยสุดจิตสุดใจของเจ้า เจ้าก็จะพบพ่อ (Deuteronomy เฉลยธรรมบัญญัติ 4:29) Delight in me and I will give you the desires of your heart. จงปิติยินดีในพ่อเถิด แล้วพ่อจะประทานตามใจปรารถนาของเจ้า (Ps. 37:4) For it is who gave you those desires. เพราะว่าพ่อกระทำกิจอยู่ภายในของเจ้า ให้เจ้ามีใจปรารถนา ทั้งให้ประพฤติตามชอบใจของพ่อ (Philippians 2:13) I am able to do more for you than you could possibly imagine. พ่อสามารถกระทำสิ่งสารพัดมากยิ่งกว่า ที่เจ้าจะทูลขอหรือคิดได้ (Ephesians 3:20) For I am your greatest encourager. ด้วยพ่อ เป็นผู้ชูใจนิรันดร์ และเป็นความหวังอันดีแก่เจ้า (2 Thessalonians 2:16:17) I am also your father who comforts you with all your troubles. แล้วพ่อยังเป็นพ่อที่สามารถชูใจลูกในการทุกข์ยากทั้งสิ้นของลูกด้วย (2 Corinthians 1: 3-4) When you are brokenhearted, I am close to you. เมื่อจิตใจเจ้าฟกช้ำ พ่ออยู่ใกล้เจ้า (Ps.34:18) As a shepherd carries a lamp, I have carried you close to my heart. อย่างผู้เลี้ยงแกะอุ้มลูกแกะ พ่อก็อุ้มเจ้าไว้ที่อกที่ใกล้ๆหัวใจของพ่อ (Isa. 40:11) One day, I will wipe away every tear from your eyes. วันหนึ่ง พ่อจะเช็ดน้ำตาทุกๆ หยด จากตาของเจ้า (Rev. 21:3-4) And I’ll take away all the pain you have suffered on this earth. และพ่อจะล้างความเจ็บปวดทั้งสิ้นที่เจ้าเคยมีเมื่อครั้งที่เจ้าอยู่บนโลกนั้น ออกจากเจ้า (Rev. 21:3-4) I am your father, and I love you even as I love my son, Jesus. พ่อเป็นพ่อของเจ้า และพ่อก็รักเจ้า เฉกเช่นที่พ่อรักพระเยซูคริสต์พระบุตรของพ่อ (John 17:23) For in Jesus, my love for you is revealed. ด้วยความรักที่พ่อมีต่อพระเยซูคริสต์นั้น ความรักของพ่อก็ดำรงอยู่ในเจ้าเช่นกัน (John 17:26) He is the exact my representation of my being. ด้วยพระเยซูคริสต์พระบุตรของพ่อ ก็สะท้อนตัวพ่อ และมีสภาวะพิมพ์เดียวกันกับพ่อนั่นเอง (Hebrew 1:3) He came to demonstrate that I am for you, not against you. พระเยซูคริสต์ ได้มาเพื่อแสดงให้เห็นว่า พ่ออยู่ฝ่ายเจ้า และไม่ได้ต่อต้านเจ้า (Romans 8:31) And to tell you that I am not counting your sins. และ เพื่อจะบอกเจ้าว่า พ่อมิได้ถือโทษในการผิดของเจ้าเลย (2 Cor. 5:18-19) Jesus died, so that you and I could be reconciled. การที่พระเยซูคริสต์ได้สิ้นพระชนม์นั้น ก็เพื่อให้เจ้าและพ่อจะได้คืนดีกัน (2 Cor. 5:18-19) His death was the ultimate expression of my love for you. การสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์นั้น ได้แสดงออกถึงความรักอันยิ่งใหญ่ที่พ่อมีต่อเจ้า (1 John 4:10) I gave up everything I love that I might gain your love. พ่อยอมสูญเสียทุกสิ่งที่พ่อรัก เพื่อว่าพ่ออาจได้รับรักตอบจากเจ้า (พระองค์มิได้ทรงหวงพระบุตรองค์ แต่ได้ทรงประทานพระบุตรนั้นเพื่อประโยชน์แก่เรา…) (Romans 8: 32) If you receive the gift of my son Jesus, you receive me. ถ้าเจ้ารับพระบุตรของพ่อ เจ้าก็ได้รับพ่อด้วย (1 John 2:23) And nothing will ever separate you from my love again. และก็ จะไม่มีอะไรที่จะทำให้เจ้าถูกตัดขาดจากความรักของพ่อได้ (Romans 8:38-39)
Come home and I’ll throw the biggest party heaven has ever seen. กลับบ้านเถอะลูก…… พ่อจะจัดงานรื่นเริงยินดีอย่างยิ่งใหญ่ต้อนรับเจ้าในสวรรค์ (Luke 15:6-7 ….เมื่อมาถึงบ้านแล้ว จึงเชิญมิตรสหายและเพื่อนบ้านให้มาพร้อมกัน พูดกับเขาว่า “จงเปรมปรีดิ์ดับข้าพเจ้าเถิด เพราะข้าพเจ้าได้พบแกะของข้าพเจ้าที่หายไปนั้นแล้ว” เราบอกท่านทั้งหลายว่า เช่นนั้นแหละ จะมีความปรีดีในสวรรค์ เพราะคนบาปคนเดียวที่กลับใจใหม่ มากกว่าเพราะคนชอบธรรมเก้าสิบเก้าคนที่ไม่ยอมกลับใจใหม่)

I have always been father, and will always be father. พ่อเป็นพระบิดา และยังคงเป็นพระบิดาตลอดไปเป็นนิตย์(Ephesians 3:14-15) My question is, will you be my child? คำถามของพ่อ ก็คือว่า เจ้าจะเป็นบุตรของพ่อหรือไม่ (John 1:12-13) I am waiting for you. ขอให้เจ้ารู้เถิดว่า พ่อกำลังรอคอยเจ้าอยู่เสมอ (Luke 15:11-32)


LOVE, ด้วยความรักอันบริสุทธิ์จากพระบิดา
YOUR DAD.พ่อของเจ้า

วันเสาร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2552

กิจกรรมลัทธิบูชาซาตาน ในวันอีสเตอร์ ฮาโลวีน และคริสต์มาส

กิจกรรมลัทธิบูชาซาตาน
Date, Celebration,Type,Usage,Age,
  • date variesGood Friday(death of Jesus),blood,human sacrifice,male only (adult)
  • date varies,Holy SaturdayJesus visits Paradise,blood,human sacrifice,male or female (adult)
  • date varies,Easter After Dark,blood,human sacrifice,male or female (adult)
  • Apr 21 - May 1 ,Abduction, ceremonial preparation &holding of sacrificial victim, terror and compliance torture of abducteeOral, anal, and vaginal, and human sacrifice,1-25 (female)plus another victim
  • Jun 21date varies, Feast Day(Summer Solstice), blood, orgies oral, anal, vaginalhuman sacrifice, any age (male or female)
  • Jul 27, Grand Climax (5 weeks, 1 day after summer solstice), Da Meur;oral, anal, vaginal, human sacrifice, female (child or adult)
  • Sep 7, Marriage to the Beast, sexual, sacrifice, dismemberment, infant - 21 (female)
  • Sep 21, Midnight Host, blood, dismemberment and hands removed for Hand of Glory(female)
  • Oct 30-31, All Hallows Eve and Halloween Night, blood and sexual, sexual climax, association with the demons, animal and/or human sacrifice, any age (male or female and/or animal)
  • Dec.25, Christmas Eve, blood, Receive body parts as Christmas gifts, infant male

วันอังคารที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2552

ตัวอย่างคำอธิษฐานเพื่อชีวิตที่บังเกิดผล

สำหรับผู้ที่ไม่ทราบว่าจะอธิษฐานว่าอย่างไรกับพระเจ้า ตัวอย่างคำอธิษฐานนี้น่าจะพอช่วยท่านได้ ขอให้นำไปปรับใช้ในส่วนที่ตรงกับเรื่องส่วนตัวของท่าน
************************
สาธุการแด่พระบิดาเจ้าพระเจ้าของอับราฮัม อิสอัคและยาโคบ
พระเจ้าผู้เที่ยงแท้พระองค์เดียวผู้ทรงพระชนม์อยู่ ผู้ทรงสถิตในสวรรค์
ขอให้พระนามของพระองค์เป็นที่เคารพสักการะขอให้อาณาจักรของพระองค์มาตั้งอยู่ ขอให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์
ในสวรรค์เป็นอย่างไร ก็ให้เป็นไปอย่างนั้นในแผ่นดินโลกขอทรงโปรดประทานอาหารประจำวันแก่ข้าพระองค์ทั้งหลายในกาลวันนี้และขอทรงโปรดยกหนี้ของข้าพระองค์ เหมือนข้าพระองค์ยกหนี้ผู้ที่เป็นหนี้ข้าพระองค์นั้นและขออย่านำข้าพระองค์เข้าไปในการทดลอง
แต่ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้พ้นจากความชั่วร้าย
เหตุว่าอาณาจักรและฤทธิ์เดชและสง่าราศีเป็นของพระองค์สืบๆไปเป็นนิตย์ เอเมน
(มัทธิว 6:9-13)
*****************************
พระเจ้าทรงเป็นผู้เลี้ยงดูข้าพเจ้าดุจเลี้ยงแกะ ข้าพเจ้าจะไม่ขัดสนพระองค์ทรงกระทำให้ข้าพเจ้านอนลงที่ทุ่งหญ้าเขียวสด
พระองค์ทรงนำข้าพเจ้าไปริมน้ำแดนสงบพระองค์ทรงฟื้นจิตวิญญาณของข้าพเจ้า
พระองค์ทรงนำข้าพเจ้าไปในทางชอบธรรม เพราะเห็นแก่พระนามของพระองค์แม้ข้าพระองค์จะเดินไปตามหุบเขาเงามัจจุราช
ข้าพระองค์ไม่กลัวอันตรายใดๆ เพราะพระองค์ทรงสถิตกับข้าพระองค์
คทาและธารพระกรของพระองค์เล้าโลมข้าพระองค์พระองค์ทรงเตรียมสำรับให้ข้าพระองค์ต่อหน้าต่อตาศัตรูของข้าพระองค์
พระองค์ทรงเจิมศีรษะข้าพระองค์ด้วยน้ำมัน ขันน้ำของข้าพระองค์ก็ล้นอยู่แน่ทีเดียวที่ความดีและความเมตตาจะติดตามข้าพเจ้าไปตลอดวันคืนชีวิตของข้าพเจ้า
และข้าพเจ้าจะอยู่ในพระนิเวศของพระเยโฮวาห์สืบไปเป็นนิตย์ (สดุดี 23)

*****************************


พระบิดาเจ้าข้า ลูกขอมอบกาย มอบชีวิตและจิตวิญญาณถวายแด่พระองค์ทั้งหมดทั้งสิ้น
ขอพระองค์โปรดทรงตรวจดูชิวิตจิตวิญญาณของลูกให้ถ้วนทั่ว เมื่อพระองค์ทรงพบสิ่งใดที่เป็นความบาปผิด สิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนในสายพระเนตรของพระองค์
ขอพระองค์โปรดประทานพระโลหิตแห่งพระเยซูคริสต์จากคลังพระโลหิตของพระองค์บนฟ้าสวรรค์ มาราดรดชีวิตจิตวิญญาณของลูก กระทำให้ลูกสะอาดบริสุทธิ์ ไร้ตำหนิต่อเบื้องพระพักตร์ของพระองค์ตลอดไปเป็นนิตย์
ขอทรงปลดปล่อยลูกจากพันธนาการของความบาปทั้งหมดทั้งสิ้นด้วยไฟแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ เพื่อให้จิตใจของลูกเป็นอิสระ ได้พักสงบในพระองค์อย่างแท้จริง
ขอการเจิมที่เพิ่มขึ้นในทุกๆวันให้กับลูกด้วยเถิดเจ้าข้า….
ขอพระองค์โปรดทรงสถิตย์อยู่ด้วยกับลูกตลอดเวลา กระทำให้ลูกเป็นหนึ่งเดียวในพระองค์
ขอพระองค์โปรดกระทำให้ ความคิด คำพูด และการกระทำของลูกเป็นมาจากพระองค์ทั้งหมดทั้งสิ้น
ขอกระทำให้กิจกรรมต่างๆในชีวิตของลูกมาจากตารางเวลาของพระองค์

ขอสอนความถ่อมใจให้กับลูก และเสริมความเชื่อให้กับลูกในทุกๆวัน
ขอกระทำให้ลูกได้มีเวลาอธิษฐานต่อเบื้องพระพักตร์ของพระองค์ในทุกๆวัน
ขอกระทำให้ลูกเติบโตฝ่ายวิญญาณและติดสนิทอยู่กับพระองค์มากยิ่งๆขึ้นในทุกๆวัน
เพื่อลูกจะบังเกิดผล เพื่อพระผู้องค์จะทรงเป็นผู้ที่ได้รับเกียรติ์สูงสุด

ขอสติปัญญาของพระองค์โปรดทรงอยู่กับลูกตลอดเวลา
ขอทรงเปิดตาใจของลูกให้ได้รู้ความจริงที่มาจากพระองค์เท่านั้น
และกระทำให้ลูกยอมเชื่อฟังพระองค์ด้วยความรักที่ลูกมีต่อพระองค์อย่างสุดหัวใจ และด้วยความถ่อมใจของลูกอย่างแท้จริง
ขอประทานยามเฝ้าริมฝีปากของลูกไว้ และนำลูกที่จะพูดแต่สิ่งที่พระองค์ทรงพอพระทัย

ขอปกป้องลูกจากผู้เผยพระวจนะเท็จและการเผยพระวจนะทั้งปวง
ขอพระองค์ทรงแยกลูกออกจากสิ่งชั่วร้าย สิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนในสายพระเนตรของพระองค์ทั้งหมดทั้งสิ้น
ขอปกป้องลูกจากการล่อลวงของเหล่ามารซาตานทุกรูปแบบ
ไม่ว่าจะมาในรูปแบบใด ขอพระองค์โปรดทรงอย่าอนุญาตให้สิ่งเหล่านั้นเข้ามากล้ำกลายชีวิต จิตวิญญาณของลูกได้

ขอองค์พระวิญญาณบริสุทธิ์ โปรดทรงนำในการดำเนินชีวิตวันต่อวันในเส้นทางอันชอบธรรมของพระองค์ เพื่อให้ลูกกระทำทุกสิ่งอย่างอย่างถูกต้องต่อเบื้องพระพักตร์ของพระองค์ตลอดไปเป็นนิตย์ ขอทรงโปรดเปลี่ยนแปลงชีวิตจิตวิญญาณของลูกให้เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์มากยิ่งๆขึ้นในทุกๆวัน
ขอกระทำให้ชีวิตของลูกบังเกิดผลอย่างแท้จริงเพื่อถวายเกียรติ์แด่พระองค์
ขอกระทำให้ลูกบริสุทธิ์ เพราะพระองค์ทรงบริสุทธิ์….

ขอองค์พระวิญญาณบริสุทิ์โปรดทรงครอบครองชีวิตจิตวิญญาณของลูกทั้งหมดทั้งสิ้นเถิดเจ้าข้า..
และขอทรงกระทำพันธกิจของพระองค์ผ่านชีวิตของลูกตามน้ำพระทัยของพระองค์…..
ขอพระองค์โปรดทรงกระทำให้ลูกได้สวมยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระองค์ให้พร้อมอยู่ตลอดเวลา
ขอฝังพระคำของพระองค์ในจิตใจของลูก และขอทรงนำให้ลูกใช้พระคำของพระองค์เพื่อเป็นดาบคมในการต่อสู้ฝ่ายวิญญาณตลอดเวลา
ขอพระองค์โปรดทรงใช้ลูกไปแทนพระองค์ ใช้ลูกให้เป็นมือเป็นเท้า และเป็นปากของพระองค์ เพื่อนำพาผู้คนกลับมาหาพระองค์
ขอทรงใช้ลูกเป็นทหารกล้าของพระองค์ในยุสุดท้ายนี้
และขอประทานกำลังแรงสูงให้กับลูกในทุกๆวัน
ขอใส่ความรักของพระองค์ในชีวิตจิตวิญญาณของลูก เพื่อให้ลูกรักคนอื่นเหมือนที่พระองค์ทรงรัก เห็นคนอื่นเหมือนที่พระองค์ทรงเห็น และเมตตาคนอื่นเหมือนที่พระองค์ทรงเมตตา

ขอสันติสุขและความชื่นชมยินดีในพระองค์ให้กับลูกทุกลมหายใจ
ขอประทานความกล้าหาญ ชัยชนะ และความมั่นคงในพระองค์ในชีวิตของลูกตลอดไปเป็นนิตย์
ขอพันธกิจของพระองค์ผ่านชีวิตของลูกประสบความสำเร็จตามน้ำพระทัยของพระองค์
ขอทรงนำลูกผ่านประตูที่คับและทางที่แคบ เข้าสู่แผ่นดินสวรรค์โดยสวัสดิภาพ พร้อมกับชัยชนะเพื่อนำวิญญาณมาถวายแด่พระองค์ และขอให้ชีวิตของลูกเป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์ และเป็นที่ถวายเกียรติแด่พระองค์อย่างแท้จริง

พระบิดาเจ้าข้า...ลูกขอถวายบ้านหลังนี้ให้เป็นขององค์พระเยซูคริสต์ ขอพระองค์โปรดครอบครอง และกระทำให้เป็นพระนิเวศน์ขอพระองค์
ขอทรงโปรดเทไฟแห่งการเผาผลาญของพระองค์ เพื่อเผาผลาญสิ่งชั่วร้าย และชำระบ้านหลังนี้ให้สะอาดบริสุทธิ์
ขอทรงโปรดขับไล่สิ่งชั่วร้าย รูปเคารพทุกชิ้น ผีร้าย วิญญาณชั่วทั้งหมดทั้งสิ้นออกจากบ้านหลังนี้ด้วยอำนาจฤทธิ์เดชของพระองค์ ด้วยไม่มีสิ่งใดเลยที่พระองค์กระทำไม่ได้ ลูกทูลขอต่อพระองค์ด้วยความเชื่อ
ขอพระองค์พระองค์โปรดทรงกระทำให้สำเร็จเถิดเจ้าข้า

พระบิดาเจ้าข้า… ลูกรักพระองค์ ด้วยสุดจิตสุดใจ สุดกำลังสุดความคิด
และลูกรักพี่น้องเหมือนรักตัวเอง (หรือขอพระองค์โปรดช่วยลูกที่จะรักพี่น้องเหมือนรักตัวเอง)
พระบิดาเจ้าข้า…ลูกขออธิษฐานเผื่อญาติพี่น้องในครอบครัวของลูกที่ยังไม่มาหาพรองค์
ขอความรักและความเมตตาจากพระองค์คุ้มครองพวกเขาไว้ในใต้ปีกของพระองค์
และทรงโปรดนำพวกเขามาถึงความรอด ด้วยวิธีการของพระองค์ และในเวลาของพระองค์ด้วยเถิดเจ้าข้า
ขอพระองค์ โปรดทรงระเบิดพันธนาการของความบาปทั้งหมดทั้งสิ้นที่มีใน ……(ใส่ชื่อคนเหล่านั้น)..ให้ขาดสะบั้นด้วยอำนาจฤทธิ์เดชแห่งไฟแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์
ขอทรงปลดปล่อยพวกเขาทุกๆคนให้เป็นอิสระอย่างแท้จริงเถิดเจ้าข้า
ลูกอธิษฐานด้วยความรักและด้วยความถ่อมใจ
ลูกขอมอบวางภาระเหล่านี้ไว้ในพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ของพระองค์
ขอพระองค์โปรดทรงกระทำให้สำเร็จ

พระบิดาเจ้าข้า…ลูกแสวงหาพระองค์อย่างสุดหัวใจ ขอให้ลูกได้พบพระองค์ และอยู่ความจริงของพระองค์ตลอดไปเป็นนิตย์ ขอพระองค์โปรดทรงอวยพระพรให้กับลูกอย่างแท้จริง ให้ลูกมีทุกสิ่งทุกอย่างอย่างมากมายจนล้นเหลือ เพื่อลูกจะได้แจกจ่ายออกไปด้วยใจกว้างขวาง เพื่อผู้คนจะรู้ว่าพระองค์ทรงอยู่กับลูก
ขอพระองค์ขยายเขตแดนของลูก เพื่อลูกจะเป็นพยานฝ่ายพระองค์ที่หนักแน่นยิ่งขึ้น เพื่อนำพาผู้คนกลับมาหาพระองค์ ขอพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ของพระองค์ โปรดทรงอยู่กับลูกตลอดเวลา
ขอพระองค์โปรดทรงปกป้องลูกให้รอดพ้นจากภยันตรายทั้งปวง เพื่อไม่ให้ลูกเจ็บใจ หรือปวดกาย (1 พงศาวดาร 4:10)

พระบิดาเจ้าข้า…พระองค์ทรงทราบจิตใจของลูกดี ลูกมีใจจดจ่อมั่นคงอยู่ที่พระองค์แต่เพียงผู้เดียว พระองค์ทรงเป็นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของลูก เป็นพระเจ้าของลูก ลูกขอสรรเสริญพระองค์ และโมทนาพระคุณพระองค์
สรรเสริญพระเจ้า… พระยาห์เวห์ พระเยซูคริสต์ และองค์พระวิญญาณบริสุทธิ์ผู้เป็นหนึ่งเดียว
องค์จอมกษัตริย์เหนือกษัตริย์ทั้งปวง จอมเจ้านาย จอมราชา ผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุด
สรรพสิ่งทั้งในฟ้าสวรรค์และแผ่ดินโลกอยู่ภายใต้การปกครองของพระองค์ทั้งหมดทั้งสิ้น
สรรเสริญพระเจ้า….สรรเสริญพระเจ้า….ฮาเลลูยา ฮาเลลูยา…..

ขอเหล่าฑูตสวรรค์ที่กำลังต่อสู้ในย่านฟ้าอากาศ มีความชื่นชมยินดี และมีกำลังที่เข้มแข็งขึ้น
ขอให้ผีมารซาตาน ผีร้ายวิญญาณชั่ว จงอ่อนกำลังลง ล่าถอยไปและพ่ายแพ้ไปในที่สุด

ขอความรักและพระคุณของพระองค์คุ้มครองลูกไว้ และกระทำให้ลูก และทุกคนที่ลูกรักมีสันติสุขในพระองค์ สะอาดบริสุทธิ์ และไร้ตำหนิ เป็นเจ้าสาวที่บริสุทธิ์ของพระองค์ตลอดเวลา รอการเสด็จกลับมาขององค์พระเยซูคริสต์ เพื่อพระองค์จะทรงพอพระทัย

ขอให้คำอธิษฐานของลูกเป็นเสมือนเครื่องหอมที่เผาบูชาต่อเบื้องพระพักตร์ของพระองค์ ที่มีกลิ่นที่พระองค์ทรงพอพระทัย

ขอพระเกียรติ พระอานุภาพ ไอศวรรย์ และศักดานุภาพ จงมีแด่องค์พระผู้ทรงคุ้มครองรักษาลูกมิให้ล้ม และทรงนำลูกให้ตั้งอยู่เฉพาะพระสิริของพระองค์ ให้ปราศจากตำหนิ และมีความร่าเริงยินดี คือแด่พระเจ้าองค์เดียว พระผู้ช่วยให้รอดของลูก โดยพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของลูก ทั้งในอดีต ปัจจุบันกาล และในกาลต่อๆไปเป็นนิตย์

ขอบพระคุณพระองค์ สรรเสริญพระองค์ และโมทนาพระคุณพระองค์

ลูกอธิษฐานด้วยความเชื่อ ความรัก และความถ่อมใจ
ในพระนาม พระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน

พระศรีอริยเมตตรัยคือพระเยซูคริสต์

พระศรีอริยะเมตตรัยคือพระผู้ช่วยให้รอด

คัดลอกข้อความมาจาก "พระธรรมปิฎกพุทธทำนายถึงพระศรีอาริยเมตตรัยที่มาโปรดโลกมนุษย์" ซึ่งคัดลอกมาจากวัดพระสิงห์ จ.เชียงใหม่ พระศรีสุทธิวงศ์ กรุงเทพฯรับรองว่าถูกต้อง เอกสารนี้ออกให้ในวันตำรวจ วันที่ 13 ตุลาคม พศ. 2497

ข้อความบางตอนกล่าวว่า.... เมื่อพระพุทธเจ้า เดินเที่ยวสัญจรเป็นตัวเป็นตนอยู่ในโลกนี้ มีพราหมณ์เฒ่าองค์หนึ่งนุ่งขาวห่มขาวเข้ามาทูลถามพระพุทธเจ้าว่า "มนุษย์และพราหมณ์ทั้งหลายจะจำศีลกินทานไปอย่างไรจึงจะรอดพ้นจากบาปได้?"

พระพุทธเจ้าตรัสว่า "มาศแม้นว่าท่านทั้งหลายจะให้ทานทอดกฐิน ถือศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 ศีล 227 เก้าล้านเก้าพันโกฏิ ยกมือไหว้บูชาถวายตัวเป็นเครื่องบูชา หรือภาวนาวันละ 5 ครั้ง ก็ไม่อาจจะรอดพ้นได้ ทำอย่างนี้ทุกวันก็จะได้บุญกุศลเพียงเท่าเส้นผมเด็กอ่อนที่อยู่ในท้องแม่ 8 อสงไข จะเข้าประตูเมืองสวรรค์ก็ยังมิได้เลย"

พราหมณ์เฒ่าองค์นั้นจึงถามต่อไปว่า "ถ้าอย่างนั้นข้าทั้งหลายจะทำอย่างไรจึงจะพ้นและรอดได้?"

พระพุทธเจ้าจึงตรัสกับพราหมณ์เฒ่านั้นว่า "บาปกรรมของมนุษย์นั้นมากหนักหนา หนักกว่าฟ้า หนากว่าแผ่นดิน สูงกว่าหินสีมาฝัง 4 เหลี่ยม 1 ศอกทุกด้าน ปีไหนเทวดาเอาผ้ามาปัด 1 ที หินนั้นหมดเมื่อไหร่ บาปของมนุษย์จะหมดเมื่อนั้น" พระพุทธเจ้าทรงเทศนาต่อไปอีกว่า "ตัวเราเองได้สละสมบัติ ตัดสละกิเลส มาทรงเพศเป็นชี ถือว่าตนดีไม่น้อย ได้ 8 อสงไขปีปลาย แถมอีกแสนมหากัปล์ นับได้ตัดสละได้ 10 ชาติ ก็ไม่อาจรอดพ้นสักคราวฯท่านทั้งหลายเอ๋ย"

พราหมณ์เฒ่าองค์นั้นก็ทูลถามต่อไปอีกว่า "ดังนั้นจะให้ข้าทั้งหลายทำอย่างไร?"

พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า "ให้ท่านทั้งหลายแสวงหาพระอีกองค์หนึ่งที่จะมาโปรดโลก ช่วยท่านทั้งหลายภายหน้า ชื่อว่าพระศรีอริยเมตตรัย"

แล้วพราหมณ์เฒ่าองค์นั้นทูลถามว่า "พระศรีอริยเมตตรัยที่จะมาโปรดโลกภายหน้านั้นมีบุคลิกลักษณะอย่างไรพระองค์ท่าน?'

พระพุทธเจ้าตรัสว่า "พระศรีอริยเมตตรัยที่จะมาโปรดโลกภายหน้านั้น ที่อุ้งมืออุ้งเท้าเป็นกงจักรกลม ที่สีข้างมีรอยถูกแทงเป็นแผล หน้าผากเต็มไปด้วยรอยตำหนิ พระองค์นั่นแหละจะพาท่านทั้งหลายไต่ข้ามวัฏสงสารไปจนถึงสวรรค์นิพพานจึงพบหน้พระแก้ว3 ประการตามประสงค์ หาตามทางเก่าท่านไม่พ้นแน่ ให้ท่านเลิกทางเก่าเสีย และจะมีดวงวิญญาณดวงใหม่ ดวงหนึ่งเท่าแสงหิ่งห้อยลงมาจากชั้นฟ้าเบื้องบน ลงมาสถิตอยู่ในใจของท่านทั้งหลาย แล้วท่านทั้งหลายจะมีชัยชนะต่อศัตรูทั้ง 4 ทิศ 8 ทิศ ใครจะปองร้ายท่านไม่ได้ ถ้าตายแล้วจะไม่ได้กลับมาในโลกนี้อีกต่อไป (คือสวรรค์นิพพาน)"


"จงขอแล้วท่านจะได้รับ จงหาแล้วท่านจะพบ จงเคาะแล้วประตูจะเปิดออกให้แก่ท่าน" มัทธิว 7:7

วันจันทร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2552

เกิดอะไรที่ไม้กางเขน??


องค์จอมกษัตริย์พระผู้ไถ่


ด้วยความรักที่พระเจ้ามีต่อมวลมนุษย์จึงได้เกิดเหตุการณ์ที่เหนือธรรมชาติและเหนือคำบรรยายขึ้นที่ไม้กางเขน


เพราะพระเจ้าทรงเป็นความรัก เป็นความยุติธรรม และเป็นความชอบธรรม

เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ที่บังเกิดมา
เพื่อผู้ใดที่เชื่อในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์”
ยอห์น 3:16


“พระเจ้าไม่ทรงเห็นแก่คนมั่งคั่งมากกว่าคนยากจน

เพราะคนทั้งหมดนี้เป็นมาจากฝีพระหัตถ์ของพระองค์” โยบ 34:19


เพราะฉะนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าจะประทานหมายสำคัญเอง ดูเถิด หญิงพรหมจารีคนหนึ่งจะตั้งครรภ์ และคลอดบุตรชายคนหนึ่ง และเขาจะเรียกนามของท่านว่า อิมมานูเอล” อิสยาห์7:14


“ด้วยมีเด็กคนหนึ่งเกิดมาเพื่อเรา มีบุตรชายคนหนึ่งประทานมาให้เรา และการปกครองจะอยู่ที่บ่าของท่าน และท่านจะเรียกนามของท่านว่า "ผู้ที่มหัศจรรย์ ที่ปรึกษา พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระบิดานิรันดร์ องค์สันติราช” อิสยาห์ 9:6

พระเยซูคริสต์ คือพระอังกูร จะทรงประทับนั่งบนพระที่นั่งของกษัตริย์ดาวิด

“จะมีหน่อแตกออกมาจากตอแห่งเจสซี จะมีกิ่งงอกออกมาจากรากทั้งหลายของเขา และพระวิญญาณของพระยาห์เวห์จะอยู่บนท่านนั้น คือวิญญาณแห่งปัญญาและความเข้าใจ วิญญาณแห่งการวินิจฉัยและอานุภาพ วิญญาณแห่งความรู้และความยำเกรงพระยาห์เวห์ ความพึงใจของท่านก็ในความยำเกรงพระยาห์เวห์ ท่านจะไม่พิพากษาตามซึ่งตาท่านเห็น หรือตัดสินตามซึ่งหูท่านได้ยิน แต่ท่านจะพิพากษาคนจนด้วยความชอบธรรม และตัดสินเผื่อผู้มีใจถ่อมแห่ง แผ่นดินโลกด้วยความเที่ยงตรง ท่านจะตีโลกด้วยตะบองแห่งปากของท่าน และท่านจะประหารคนชั่วด้วยลมแห่งริมฝีปากของท่าน ความชอบธรรมจะเป็นผ้าคาดเอวของท่าน และความสัตย์สุจริตจะเป็นผ้าคาดบั้นเอวของท่าน” อิสยาห์11:1-5



เพราะพระเจ้าทรงเป็นความรักมั่นคง และอดทนนาน...

จึงเกิดเหตุการณ์ที่ไม้กางเขนที่เนินกลโกธา นอกกรุงเยรูซาเล็ม


ที่ในสวนเกทเสมณี....
พระเยซูอธิษฐานต่อพระบิดาว่า


"โอ พระบิดาของข้าพระองค์ ถ้าเป็นได้ขอให้ถ้วยนี้เลื่อนพ้นไปจากข้าพระองค์เถิด แต่อย่างไรก็ดี อย่าให้เป็นตามใจปรารถนาของข้าพระองค์ แต่ให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์" มัทธิว 26:39


“เมื่อพระองค์ทรงเป็นทุกข์มากนักพระองค์ยิ่งปลงพระทัยอธิษฐาน พระเสโท(เหงื่อ)ของ พระองค์เป็นเหมือนโลหิตไหลหยดลงถึงดินเป็นเม็ดใหญ่” ลูกา 22:44



ทำไมพระเยซูจึงร้องขอพระบิดา ว่า

“ถ้าเป็นได้ขอให้ถ้วยนี้เลื่อนพ้นไปจากข้าพระองค์เถิด”


อะไรอยู่ในถ้วยนั้น???


...ที่ทำให้พระองค์อยู่ในอารมณ์ที่ทุกข์หนักอย่างแสนสาหัสในฝ่ายวิญญาณ และพระองค์ได้ร้องขอต่อพระบิดาขอให้เลื่อนถ้วยนั้นไปก่อน..หากเป็นไปได้...และขณะเดียวกันนั้นพระองค์ยังได้ขอให้สาวกทั้งสามคนที่ไปด้วยคือ เปโตร ยอห์น และยากอบ ให้เฝ้าและอธิษฐานอยู่(อย่างไรก็ตาม เมื่อพระองค์กลับจากอธิษฐานทั้ง 3ครั้ง พวกเขาทั้งสามคนก็ยังหลับอยู่)


ลูกาได้บรรยายไว้ว่า ก่อนที่พระองค์จะไปอธิษฐานในครั้งที่สามนั้น ฑูตสวรรค์ได้ถูกส่งมาให้กำลังแก่พระองค์ (ลูกา 22:43) และหลังจากนั้นพระองค์ก็ทรงทุกข์หนักและพระองค์ทรงอธิษฐานอย่างหนักยิ่งขึ้นจนมีเหงื่อเป็นเลือดหยดลงบนพื้น (ลูกา 22:44) ผู้เขียนพระคัมภีร์ได้บรรยายบอกเป็นนัยว่า... พระองค์กำลังต่อสู้ฝ่ายวิญญาณอย่างหนัก กับความบาปที่กำลังก่อตัวขึ้นในจิตวิญญาณของพระองค์... พระองค์ทรงรู้สึกถึงโซ่ตรวนของความบาปได้มาพันรัดอัดแน่นอยู่รอบพระกายและพระวิญญาณของพระองค์ พระองค์ถูกอัดแน่น เหมือนกำลังอยู่ในความมืดมิดหมดหนทาง รู้สึกได้ถึงความหวาดกลัว กระวนกระวาย สิ้นหวัง หดหู่อย่างที่สุดเพราะความบาปของทั้งโลกที่พระองค์กำลังแบกรับอยู่นั้น และพระองค์ก็คาดการณ์ล่วงหน้าถึงการที่พระองค์จะต้องถูกตัดขาดความสัมพันธ์จากพระบิดา เพราะความบาปที่พระองค์แบกรับอยู่นั้นจึงทำให้พระองค์ทรงทุกข์หนักจนเหงื่อกลายเป็นเลือด...

พระเยซูทรงทราบว่าถ้วยนั้นคือ.. ถ้วยแห่งพระพิโรธของพระเจ้าพระบิดา !!! เป็นถ้วยแห่งการพิพากษาอย่างยุติธรรมและตรงไปตรงมา ในถ้วยนี้ไม่มีความเมตตาอยู่เลย เป็นการพิพากษาตัดสินลงโทษความบาปผิดของมนุษย์ทั้งโลกล้วนๆ การลงโทษความบาปทั้งหมดนี้จะต้องมาตกอยู่ที่พระองค์แต่เพียงผู้เดียว ซึ่งเพื่อบรรลุพันธกิจที่พระบิดาใช้พระองค์มาทำนั้น พระองค์จะต้องดื่มถ้วยนั้นจนหมดไม่ให้เหลือแม้แต่หยดเดียว!

และพระเยซูเองได้บอกกับเหล่าสาวกล่วงหน้าแล้ว หลังจากรับประทานปัสกากับพวกเขาในคืนนั้นว่า.. "ในคืนวันนี้ท่านทุกคนจะทิ้งเราเพราะเรา ด้วยมีคำเขียนไว้ว่า `เราจะตีผู้เลี้ยงแกะ และแกะฝูงนั้นจะกระจัดกระจายไป' มัทธิว 26:31


และพระองค์ทรงทราบว่า ด้วยพระประสงค์ของพระบิดาที่ต้องการไถ่มนุษยชาติจากความบาปที่เกิดขึ้นเมื่อครั้งที่อาดัมได้ทำผิดต่อพระเจ้านั้น ซึ่งทุกคนที่เกิดมาภายหลัง ก็เกิดมาในความบาปทั้งสิ้นและมีชีวิตในความบาปโดยไม่รู้ตัว


มนุษย์ทั้งโลกตกอยู่ในความบาปและนี่คือสิ่งที่พระเจ้ามองเห็นมนุษย์เมื่อครั้งที่พระเยซูยังไม่มาไถ่บาป :


“…ไม่มีผู้ใดเป็นคนชอบธรรมสักคนเดียว

ไม่มีเลยไม่มีคนที่เข้าใจ

ไม่มีคนที่แสวงหาพระเจ้าเขาทุกคนหลงทางไปหมด
เขาทั้งปวงเป็นคนไร้ค่าเหมือนกันทั้งสิ้น
ไม่มีสักคนเดียวที่ทำดี

ไม่มีเลยลำคอของเขาคือหลุมฝังศพที่เปิดอยู่
เขาใช้ลิ้นของเขาในการล่อลวง
ภายใต้ริมฝีปากของเขามีพิษของงูร้าย

ปากของเขาเต็มด้วยคำแช่งด่าและคำขมขื่น

เท้าของเขาว่องไวในการทำให้นองเลือด

ในทางเดินของเขามีความพินาศและความทุกข์

และเขาไม่รู้จักทางแห่งสันติสุขในแววตาของเขาไม่มีความเกรงกลัวพระเจ้า'
โรม 3:10-18
“เพราะว่าทุกคนทำบาปและเสื่อมถอยจากพระเกียรติสิริของพระเจ้า” (โรม 3:23) และเพราะสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างได้ถูกทำให้ผิดเพี้ยน ไร้ค่าไป ไม่ใช่ด้วยความสมัครใจของมันเอง แต่โดยความตั้งใจของผู้ที่บังคับ (ซาตาน)ให้มันต้องตกอยู่ในภาวะดังกล่าว (โรม 8:19)

ด้วยมนุษย์นั้นดำเนินชีวิตอยู่ในความบาป และความบาปนั้นก็มาปิดกั้นความสัมพันธ์ที่มนุษย์เคยมีต่อพระเจ้า

จริงๆแล้วพระเจ้าได้ใส่ความรู้เรื่องของพระองค์ไว้ในจิตใจของมนุษย์ทุกคนอยู่แล้ว ลึกๆในใจ มนุษย์ทุกคนรู้ดีว่ามีพระเจ้า แต่ความบาป ความมืดดำและการล่อลวงอันแยบยลของเจ้าผู้ครองโลก (ซาตานและลูกสมุนของมัน)นั้นได้พยายามปิดหูปิดตามนุษย์ให้หลงลืมเรื่องของพระผู้สร้างของเขา และ “เขาใช้ความชั่วร้ายปิดกั้นความจริง (เรื่องพระเจ้า)” โรม 1:18


และ“แม้เขาจะรู้จักพระเจ้า แต่พวกเขาก็ไม่ได้ถวายพระเกียรติสิริแด่พระองค์สมกับที่ทรงเป็นพระเจ้า ทั้งยังไม่ได้ขอบพระคุณ แต่กลับคิดในสิ่งไร้สาระ และจิตใจอันโง่เขลาของพวกเขาก็มืดมัวไป” โรม 1:21

แต่ด้วยพระเมตตาอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ที่มีต่อมวลมนุษยชาติ...
และเพราะพระเจ้าทรงดำรงในความยุติธรรม...


ซึ่ง“บาปนั้นได้เข้ามาในโลกเพราะมนุษย์คนเดียว (คืออาดัม) และบาปนำความตายมา และโดยทางนี้เองความตายจึงมาถึงมวลมนุษย์เพราะทุกคนได้ทำบาป” โรม 5:12


และแม้ว่า... “ค่าตอบแทนของความบาปคือความตาย” (โรม 6:23) คือจะต้องมีการตายเกิดขึ้นเพื่อทดแทนความบาปของมวลมนุษย์ แต่พระเจ้าพระบิดาทรงรักมนุษย์มาก แม้ว่าพระองค์ทรงเห็นแล้วว่าไม่มีผู้ใดเลยที่ชอบธรรมในสายพระเนตรของพระองค์ (โรม 3:10-18) และ “มนุษย์ทุกคนก็เป็นเหมือนลูกแกะที่พลัดหลงไปจากฝูง แต่ละคนก็หันไปตามทางของตน” (อิสยาห์ 53:6)


อย่างไรก็ตามพระองค์ก็ไม่อยากให้มนุษย์ต้องตาย หรือหลงหายอยู่ในโลกที่มืดมิดอีกต่อไป
พระองค์ต้องการ พาเราทุกคนกลับบ้านที่เที่ยงแท้ถาวร


พระองค์ไม่ต้องการให้ผู้ใดต้องตกลงไปในบึงไฟนรกเพราะการตายและถูกตัดขาดจากพระเจ้า

พระองค์ต้องการให้มนุษย์กลับมามีความสัมพันธ์กับพระองค์เหมือนครั้งที่ทรงสร้างอาดัมและเอวาในสวนเอเดนนั้น


...มนุษย์ที่พระองค์ทรงรักมากกว่าสิ่งที่ทรงสร้างทุกชนิด
มนุษย์ที่พระองค์ทรงปั้นด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เองให้มีรูปลักษณ์เหมือนพระองค์
...เพราะพระองค์ไม่ต้องการให้มนุษย์ตายไปจากพระสิริของพระองค์...


พระองค์จึงได้เสียสละพระบุตรของพระองค์มาตายแทนการตายมนุษย์ทั้งโลก!!!



พระเยซู... พระองค์ทรงบริสุทธิ์ และปราศจากความบาปโดยสิ้นเชิง

เพื่อสำแดงความยุติธรรม..พระบิดาจึงได้ใช้ให้พระองค์เข้ามาในโลก...


พระเยซูมาในรูปลักษณ์ที่เหมือนพวกเราทุกคนเพราะมนุษย์นั้นมีความบาปโดยผ่านทางเนื่อหนัง “พระเจ้าทรงใช้พระบุตรของพระองค์มาในสภาพเช่นเดียวกับมนุษย์ ที่เป็นคนบาป เพื่อเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป โดยการกระทำเช่นนี้พระองค์จึงได้ตัดสินลงโทษบาปในมนุษย์ที่อยู่ในเนื้อหนัง” โรม 8:3



การเสด็จมาในโลกของพระองค์เมื่อสองพันกว่าปีที่แล้วนั้น ก็เพื่อทำพันธกิจอันยิ่งใหญ่เพื่อกอบกู้มวลมนุษยชาติให้พ้นจากบาปและจากความตายซึ่งเป็นผลตอบแทนของความบาปนั้น และเพื่อมนุษย์จะได้กลับมามีความสัมพันธ์กับพระเจ้าเหมือนเมื่อครั้งที่พระองค์ทรงสร้างโลกใหม่ๆ

พระองค์มาแบกรับความบาปผิดทั้งหมดทั้งสิ้นของมนุษย์ทั้งโลกไว้ที่พระองค์เอง

...ทั้งๆที่ พระองค์เองไม่มีความบาปเลย แม้แต่เพียงเล็กน้อยก็ไม่มีเลย...


เป็นน้ำพระทัยของพระยาห์เวห์ที่จะให้ท่าน(พระเยซูคริสต์)ฟกช้ำด้วยความระทมทุกข์ เมื่อพระองค์ทรงกระทำให้วิญญาณของท่านเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป...” อิสยาห์53:10



ซึ่งเหตุการณ์คล้ายๆ สิ่งเดียวกันนี้ พระเจ้าได้ทรงบอกเป็นนัยๆ ก่อนแล้วเมื่อครั้งที่พระองค์ทรงสั่งให้อับราฮัมนำอิสอัคบุตรชายคนเดียวของท่านไปเผาบูชาบนแท่นบูชา แต่นั่นพระเจ้าทรงใช้เพื่อทดสอบความเชื่อของท่าน และเมื่อพระองค์ทรงเห็นการเชื่อฟังของอับราฮัมแล้ว จึงได้จัดเตรียมลูกแกะไว้ให้เผาบูชาแทน (ปฐมกาล 22) แต่เหตุการณ์ครั้งนั้นเป็นการบอกล่วงหน้าเรื่องการลบล้างบาปโดยพระบุตรองค์เดียวของพระองค์เอง


พระบิดาทรงทราบเสมอว่าการทรงไถ่มวลมนุษยชาติที่เต็มไปด้วยสิ่งที่น่าสะอดสะเอียนนั้น... มีเพียงความบริสุทธิ์ของพระเจ้าเท่านั้นที่จะสามารถลบล้างได้ องค์พระเยซูยังทราบอีกว่า พระบิดาเกลียดความบาป เพราะ“ความชั่วช้า (บาป)ของเจ้าทั้งหลายได้กระทำให้เกิดการแยกระหว่างเจ้ากับพระเจ้า...” อิสยาห์ 59:2


และด้วยพระเยซูทรงรักพระบิดามาก พระองค์ไม่ต้องการถูกตัดขาดความสัมพันธ์เลยแม้แต่เสี้ยววินาที พระองค์จึงร้องขอว่า “ถ้าเป็นได้ขอให้ถ้วยนี้เลื่อนพ้นไปจากข้าพระองค์เถิด”


พระเยซูแม้พระองค์มาเกิดเป็นมนุษย์ แต่พระองค์ทราบแผนการของพระบิดาในเรื่องการทรงไถ่มาตลอด พระองค์ทรงรักและเชื่อฟังพระบิดาทุกอย่าง และพระองค์ไม่ได้กลัวความตาย เหมือนที่มนุษย์ทั่วไปกลัว หรืออย่างที่หลายคนเข้าใจ แต่..

“พระองค์กลัวการถูกตัดขาดความสัมพันธ์จากพระบิดา” ต่างหาก เพราะพระบิดาและพระบุตรนั้นมีความแนบสนิทเป็นหนึ่งเดียวมาตลอด และการถูกตัดขาดแม้เพียงเสี้ยววินาที่เดียวก็ไม่เป็นที่ปรารถนาของทั้งพระบุตรและพระบิดาเลย แต่พระองค์ก็ต้องเชื่อฟังพระบิดา และทำตามน้ำพระทัยพระองค์ เพื่อพันธกิจการทรงไถ่มวลมนุษย์ชาติอันยิ่งใหญ่จะสำเร็จตามพระประสงค์

หลังจากอธิษฐานที่สวนเกทเสมณี พระองค์ไม่ได้งีบหลับเลยตลอดทั้งคืนนั้น และทันใดนั้นพระองค์ก็ถูกจับไปและสาวกของพระองค์ก็ทิ้งพระองค์ไปหมด พระองค์ถูกนำไปสอบสวนหาความผิด ถูกถ่มน้ำลายรดหน้า ถูกเฆี่ยนตีอย่างทารุณโดยทหารโรมัน
ถูกดูถูกเหยียดหยามจากชาวยิวที่ไม่เชื่อว่าพระองค์เป็นพระเมสสิยาห์

สภาพของพระองค์ในเวลานั้นเป็นไปตามที่ได้บรรยายไว้แล้วจากบรรดาผู้เผยพระวจนะตั้งแต่โบราณกาล;

“ด้วยคนเป็นอันมากตะลึงเพราะท่านฉันใด หน้าตาของท่านเสียโฉมมากกว่ามนุษย์คนใด
และรูปร่างของท่านก็เสียโฉมมากกว่าบุตรทั้งหลายของมนุษย์คนใด”
อิสยาห์ 52:14

“ท่านได้ถูกมนุษย์ดูหมิ่นและทอดทิ้ง เป็นคนที่รับความเศร้า
โศกและคุ้นเคยกับความระทมทุกข์
และดังผู้หนึ่งซึ่งคนทนมองดูไม่ได้
ท่านถูกดูหมิ่น

และเราทั้งหลายไม่ได้นับถือท่าน

แน่ทีเดียวท่านได้แบกความระทมทุกข์ของเราทั้งหลาย
และหอบความเศร้าโศกของเราไป
กระนั้นเราทั้งหลายก็ยังถือว่าท่านถูกตี
คือพระเจ้าทรงโบยตีและข่มใจ

แต่ท่านถูกบาดเจ็บเพราะความละเมิดของเราทั้งหลาย
ท่านฟกช้ำเพราะความชั่วช้าของเรา
การตีสอนอันทำให้เราทั้งหลายปลอดภัยนั้นตกแก่ท่าน...
ท่านถูกบีบบังคับและท่านถูกข่มใจ
ถึงกระนั้นท่านก็ไม่ปริปาก
เหมือนลูกแกะที่ถูกนำไปฆ่า
และเหมือนแกะที่เป็นใบ้อยู่หน้าผู้ตัดขนของมันฉันใด
ท่านก็ไม่ปริปากของท่านเลยฉันนั้นท่านถูกนำไปจากคุก

และท่านไม่ได้รับความยุติธรรมเสียเลย
และผู้ใดเล่าจะประกาศเกี่ยวกับพงศ์พันธุ์ของท่าน
เพราะท่านต้องถูกตัดออกไปจากแผ่นดินของคนเป็น
ต้องถูกตีเพราะการละเมิดของชนชาติของเรา”
อิสยาห์ 53:3-5, 7-8


ที่บนไม้กางเขน



พระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขนตั้งแต่ 9 โมงเช้าของวันศุกร์

และทรงสิ้นพระชนม์เวลาบ่ายสามโมงในวันเดียวกัน


6 ชั่วโมงแห่งการทนทุกข์ทรมานอย่างที่สุดบนไม้กางเขนที่ต่อเนื่องมาจากการไม่ได้หลับเลยทั้งคืน ทั้งยังถูกเฆี่ยนตีอย่างแสนสาหัส ถูกดูถูกเหยียดหยาม ดูหมิ่นดูแคลนต่างๆนาๆ ทั้งๆที่พระองค์ไม่เคยทำความบาปเลย

  • ในฝ่ายร่างกายนั้น: พระองค์ทรงเหน็ดเหนื่อยและเจ็บปวดทรมานจากบาดแผลที่ถูกเฆี่ยนตีและพระองค์ไม่ได้นอนมาทั้งคืน ความอ่อนระโหยโรยแรงจากการแบกไม้กางเขนที่หนักอึ้ง ผ่านหาทางอันขรุขระ ล้มลุกคลุกคลานตั้งแต่จากในเมืองออกมาที่เขากลโกธาซึ่งเป็นระยะทางที่ไกลมาก และในระหว่างทางนั้นก็มีทหารโรมัน รวมทั้งชาวยิวและพวกฟาริสีที่เกลียดชังพระองค์คอยติดตาม ด่าทอ เสียดสี และเหยียดหยามพระองค์มาตลอดเส้นทาง

เมื่อมาถึงเขากลโกธานั้น พระองค์ก็ต้องทนต่อความเจ็บปวดจากการถูกตอกตะปูที่มือและเท้า และจากน้ำหนักตัวที่ถ่วงจากการตรึงมือและเท้าบนไม้กางเขนนั้น ทำให้พระองค์ต้องออกแรงต้านอย่างหนักเพื่อที่จะหายใจได้ในแต่ละครั้ง อีกทั้งยังอยู่ท่ามกลางแสงแดดที่แผดเผา ร้อนแรงและกระหาย ที่ศีรษะของพระองค์มีมุงกุฎหนามที่ถูกพวกทหารโรมันนำมาสวมให้เพื่อล้อเลียนพระองค์ซึ่งมันทิ่มแทงศีรษะพระองค์และมีพระโลหิตไหลออกมา พระองค์ต้องเจ็บปวดทรมานจากบาดแผลตามตัวที่ถูกเฆี่ยนนั้น ไม่มีคนบาปคนไหนเลยในโลกที่ถูกกระทำการทารุณทั้งทางร่างกายและจิตใจมากมายเยี่ยงพระองค์

  • ฝ่ายวิญญาณ:...ที่บนไม้กางเขนนั้น พระเยซูทรงแบกรับความบาปของมวลมนุษยชาติไว้จนหนักอึ้ง พระองค์รับรู้ความรู้สึกทั้งหมดของคนที่ตกอยู่ในความบาป
    ความหวาดกลัว ความอับอาย การรู้สึกผิด การเกลียดชังตัวเองเพราะความบาป ความทุกข์ใจ ความสับสน ความกระวนกระวายใจ ความเศร้าสลด หดหู่และสิ้นหวังอย่างที่สุด ของคนทั้งโลกที่มากองรวมกันไว้ที่พระองค์เพียงผู้เดียว คุณลองจินตนาการดูว่า...แม้ในความระทมทุกข์ของเราลำพังเพียงคนเดียวนั้น บางครั้งที่เรามองไปทางใดก็มืดมนไปหมด ไม่เห็นแสงสว่าง หาทางออกไม่เจอ ด้วยความทุกข์แสนสาหัสนั้น บางคนถึงกับอยากฆ่าตัวตายตายให้รู้แล้วรู้รอดไป


แล้วความทุกข์และความบาปผิดที่ท่วมท้นของมนุษย์ทั้งโลก ที่ได้ไปกองอยู่บนบ่าของพระองค์เพียงผู้เดียวจะหนักกว่านั้นสักเพียงใด ????

และการถูกทอดทิ้งจากพระบิดาที่รักของพระองค์นั้นทำให้จิตใจของพระองค์ ถูกโอบล้อมไปด้วยความสิ้นหวัง และโดดเดี่ยว ไม่มีที่พึ่งเลย ทั้งๆที่โดยปกติแล้วพระองค์แนบสนิทเป็นหนึ่งเดียวกับพระบิดา และพึ่งพาพระบิดามาโดยตลอด!

ด้วยในช่วงเวลานั้นพระบิดาใด้ทิ้งพระองค์ไป เพราะความบาปที่ท่วมทับในพระองค์
ในชั่วขณะหนึ่งของความโกรธ เราเบือนหน้าหนีไปจากเจ้า” (อิสยาห์ 54:8)


ด้วยความบาปทั้งมวลนั้นเป็นสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า เพราะพระองค์ทรงเกลียดความบาปแม้ว่าความบาปนั้นจะอยู่ที่พระบุตรของพระองค์เองก็ตาม


เพราะ “คนโอ้อวด (คนบาป) ไม่อาจยืนอยู่ต่อหน้าพระองค์ได้

พระองค์ทรงเกลียดชังผู้กระทำความชั่วช้าทั้งสิ้น” สดุดี5:5

ในวันนั้น เกิดความมืดมัวไปทั่วทั้งแผ่นดินตั้งแต่เที่ยงวันไปจนถึงบ่ายสามโมง


ราวบ่ายสามโมงพระองค์ร้องเสียงอันดังว่า “เอโลอี เอโลอี สะบักธานี” ซึ่งแปลว่า “พระเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์ ทำไมทรงทอดทิ้งข้าพระองค์” (มัทธิว 27:45-46)


เมื่อพระองค์ทรงทราบว่าทุกสิ่งสำเร็จครบถ้วน...ณ เวลานั้นโดยฝ่ายวิญญาณ พระองค์ก็ได้ดื่มถ้วยพระพิโรธของพระบิดาจนหมดทุกหยดแล้ว
และพระองค์จึงตรัสว่า “สำเร็จแล้ว! (ยอห์น 19:28, 30)

และขณะนั้นเองม่านในพระวิหารก็ขาดเป็นสองท่อนตั้งแต่บนจรดล่าง เกิดแผ่นดินไหว ศิลาแตกออกจากกัน” (มัทธิว 27:51)


การสิ้นพระชนม์ของพระเยซูที่ไม้กางเขนนั้น เป็นการชนะอำนาจวิญญาณชั่วร้าย ชนะความบาปและชนะความตายทั้งสิ้นที่พวกบรรดาผีมารซาตาน เทพผู้ครอง ศักดิเทพ อิทธิเทพ และเทพต่างๆ ได้นำเข้ามาสู่โลกมนุษย์ตั้งแต่ครั้งที่ซาตานได้ตกลงมาจากสวรรค์เมื่อครั้งโบราณกาล



“...โดยความตายพระองค์จะได้ทรงทำลายผู้นั้นที่มีอำนาจแห่งความตาย คือพญามาร(ซาตาน/Lucifer/the watcher/Baal/Sun God/Moon God/พระแปลกๆ/เจ้าพ่อเจ้าแม่ต่างๆ/ผีป่าผีเขาหรือสารพัดผีทีคนกราบไหว้ ฯลฯ)และจะได้ทรงช่วยเขาเหล่านั้น(หมายถึงชาวมนุษย์โลก)ให้พ้นจากการเป็นทาส (ทาสของความบาปที่เหล่าซาตานพาทำ)ชั่วชีวิต
เนื่องจากกลัวความตาย”
ฮีบรู 2:14-15
พระองค์ถูกนำไปวางไว้ในอุโมงค์ใหม่ และใช้หินกลิ้งปิดปากอุโมงค์ไว้ (มัทธิว 27:60)

และหลังจากนั้น 3 วัน พระบิดาได้ทำให้พระองค์ฟื้นขึ้นมาจากความตาย (มัทธิว 28)... เพราะพระเจ้าทรงตรัสไว้ว่า...“เราทอดทิ้งเจ้าชั่วประเดี๋ยวหนึ่ง แต่ด้วยความเมตตาอย่างลึกซึ้ง เราจะพาเจ้ากลับมา” อิสยาห์ 54:7

ทั้งหมดนี้เป็นการแสดงออกถึงความยุติธรรมและความรักอันยิ่งใหญ่ที่พระเจ้ามีต่อมนุษย์ทุกคนโดยผ่านทางพระบุตรของพระองค์คือองค์พระเยซูคริสต์

พระเยซูทรงถูกใช้โดยพระบิดาให้มาไถ่บาปของมวลมนุษยชาติ และพระองค์ได้ทำสำเร็จแล้วบนไม้กางเขนนั่น!!!!


***ความผิดบาปโดยอาดัม ความชอบธรรมโดยพระคริสต์***



“เพราะว่าถ้าโดยการละเมิดของคนนั้นคนเดียว เป็นเหตุให้ความตายครอบงำอยู่โดยคนนั้นคนเดียว มากยิ่งกว่านั้นคนทั้งหลายที่รับพระคุณอันไพบูลย์และรับของประทานแห่งความชอบธรรม ก็จะดำรงชีวิตและครอบครองโดยพระองค์ผู้เดียว คือพระเยซูคริสต์)ฉะนั้นการพิพากษาลงโทษได้มาถึงคนทั้งปวงเพราะการละเมิดของคนๆเดียวฉันใด ความชอบธรรมของพระองค์ผู้เดียวก็นำของประทานแห่งพระคุณมาถึงทุกคนฉันนั้น คือความชอบธรรมแห่งชีวิต” โรม 5:17-18


ม่านในพระวิหารขาด เมื่อพระองค์ทำสำเร็จนั้น แสดงถึงการที่พระองค์ทรงเป็นสื่อกลางเป็นปุโรหิตหลวงให้เราได้คืนดีกับพระเจ้าโดยผ่านทางพระนามของพระองค์ การติดต่อกับพระเจ้าไม่ต้องใช้ปุโรหิตที่เป็นมนุษย์อีกต่อไป...



ต่อจากนี้ก็เป็นหน้าที่ของเราว่าเราจะรับความรอด ความรักและความเมตตา โดยการกลับมามีความสัมพันธ์กับพระเจ้าหรือไม่???



“เพราะว่าคนเป็นอันมากเป็นคนบาปเพราะคนๆเดียวที่มิได้เชื่อฟังฉันใด
คนเป็นอันมากก็เป็นคนชอบธรรมเพราะพระองค์ผู้เดียว (พระเยซู)ที่ได้ทรงเชื่อฟังฉันนั้น”
โรม5:19


ขอเชิญชวนให้พวกเรา มนุษย์ทุกคนกลับมาให้ถึงบ้านแท้ของเราโดยทางพระองค์....


ด้วยพระเยซูตรัสว่า "เราเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาได้นอกจากมาทางเรา ยอห์น 14:6


การสิ้นพระชนม์ของพระเยซูที่บนไม้กางเขนนั้น และการเป็นขึ้นมาจากความตายของพระองค์นั้น เป็นเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่และสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ


…ซึ่งสิ่งที่เป็นไปทั้งหมดนั้น ไม่สามารถบรรยายให้เข้าใจอย่างลึกซึ้งทั้งหมดได้ด้วยภาษาของมนุษย์เพราะเป็นพันธกิจเหนือธรรมชาติที่ทำสำเร็จได้โดยพระเจ้าเท่านั้น!!

เป็นเรื่องการไถ่วิญญาณของมนุษย์ซึ่งโดยธรรมชาตินั้นเป็นสิ่งที่เป็นอมตะหรือไม่มีวันตาย และเราผู้ซึ่งตอบสนองต่อการทรงไถ่ของพระเจ้าด้วยสุดหัวใจนั้น เมื่อเราละจากกายเนื้อนี้แล้ว พระเจ้าก็จะรับจิตวิญญาณของเราให้กลับอยู่กับพระองค์พระผู้สร้างของเราคือองค์นิรันดร์ในแผ่นดินสวรรค์

ด้วยเหตุนี้เอง ผู้เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริงจึงไม่กลัวความตาย เพราะสันติสุขและความชื่นชมยินดีแห่งการได้มีชีวิตนิรันดร์และการได้กลับไปอยู่กับพระผู้สร้างนั้นเป็นความหวังใจของเราทุกคนในชีวิตหลังความตาย และขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่นั้น เราจึงมีชีวิตอยู่ในความหวังอันหวังได้จริงๆ ทั้งยังอยู่ในความรัก ในกำลัง ในฤทธิ์เดชและในพระคุณของพระเจ้า

บางคนถามว่า ผู้ชายเพียงคนเดียวสามารถไถ่บาปมนุษย์ทั้งโลกได้หรือ?


และถามว่า ทำไมต้องเป็นพระเยซู??

คำตอบเดียวคือ..
เลือดและเนื้อของพระเยซูสามารถลบล้างบาปทั้งหมดของมนุษย์ได้... เพราะว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า...องค์บริสุทธิ์...บริสุทธิ์...และบริสุทธิ์... จึงสามารถทดแทนความบาปของมนุษย์ทั้งโลกได้!!!
เพราะพระเยซูได้ถวายชีวิตพระองค์เองเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปเพื่อสำแดงความยุติธรรมของพระเจ้าอันเนื่องมาจากผลตอบแทนของความบาปคือความตายนั้น เพื่อไถ่ชีวิตมนุษย์ทุกคนกลับคืนมาจากความบาปนั้น พระองค์ได้ทำเสร็จเรียบร้อยหมดแล้วที่บนไม้กางเขนนั่น ส่วนเราทุกคนที่เป็นเพียงมนุษย์ที่อ่อนแอที่พ่ายแพ้ต่อบาปมาตลอดนั้น เมื่อเราเชื่อในพระองค์จากใจของเราจริงๆและนำคำสอนของพระองค์ไปปฏิบัติในการดำเนินชีวิตประจำวันของเราแล้ว เราก็มั่นใจได้ว่าเราจะไม่พรากจากพระเจ้าอีกเลย

"บัดนี้ เราจึงเป็นคนชอบธรรม
โดยพระโลหิตของพระองค์
ยิ่งกว่านั้น
เราจะพ้นจากพระพิโรธโดยพระองค์"
โรม 5:9


“ดังที่พระองค์ได้ทรงโปรดให้พระบุตรมีอำนาจเหนือเนื้อหนังทั้งสิ้น เพื่อให้พระบุตรประทานชีวิตนิรันดร์แก่คนทั้งปวงที่พระองค์ทรงมอบแก่พระบุตรนั้น และนี่แหละคือชีวิตนิรันดร์ คือที่เขารู้จักพระองค์ ผู้ทรงเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียว และรู้จักพระเยซูคริสต์ที่พระองค์(หรือพระยาห์เวห์พระบิดา)ทรงใช้มา”
ยอห์น 17:2-3





Holy...Holy...Holy!!!! เราขอสรรเสริญพระผู้ไถ่ของเราว่า บริสุทธิ์ บริสุทธิ์ พระเจ้าองค์บริสุทธิ์ องค์จอมกษัตริย์พระผู้ไถ่ของเรา ฮาเลลูยา....



องค์จอมกษัตริย์พระผู้ไถ่

องค์จอมกษัตริย์พระผู้ไถ่


ด้วยความรักที่พระเจ้ามีต่อมวลมนุษย์จึงได้เกิดเหตุการณ์ที่เหนือธรรมชาติและเหนือคำบรรยายขึ้นที่ไม้กางเขน


เพราะพระเจ้าทรงเป็นความรัก เป็นความยุติธรรม และเป็นความชอบธรรม

เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ที่บังเกิดมา
เพื่อผู้ใดที่เชื่อในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์”
ยอห์น 3:16


“พระเจ้าไม่ทรงเห็นแก่คนมั่งคั่งมากกว่าคนยากจน

เพราะคนทั้งหมดนี้เป็นพระหัตถกิจของพระองค์” โยบ 34:19


เพราะฉะนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าจะประทานหมายสำคัญเอง
ดูเถิด หญิงพรหมจารีคนหนึ่งจะตั้งครรภ์ และคลอดบุตรชายคนหนึ่ง

และเขาจะเรียกนามของท่านว่า อิมมานูเอล” อิสยาห์7:14


“ด้วยมีเด็กคนหนึ่งเกิดมาเพื่อเรา มีบุตรชายคนหนึ่งประทานมาให้เรา และการปกครองจะอยู่ที่บ่าของท่าน และท่านจะเรียกนามของท่านว่า "ผู้ที่มหัศจรรย์ ที่ปรึกษา พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระบิดานิรันดร์ องค์สันติราช” อิสยาห์ 9:6

พระเยซูคริสต์ คือพระอังกูร จะทรงประทับนั่งบนพระที่นั่งของดาวิด“จะมีหน่อแตกออกมาจากตอแห่งเจสซี จะมีกิ่งงอกออกมาจากรากทั้งหลายของเขา และพระวิญญาณของพระยาห์เวห์จะอยู่บนท่านนั้น
คือวิญญาณแห่งปัญญาและความเข้าใจ วิญญาณแห่งการวินิจฉัยและอานุภาพ วิญญาณแห่งความรู้และความยำเกรงพระเยโฮวาห์
ความพึงใจของท่านก็ในความยำเกรงพระเยโฮวาห์ ท่านจะไม่พิพากษาตามซึ่งตาท่านเห็น หรือตัดสินตามซึ่งหูท่านได้ยิน แต่ท่านจะพิพากษาคนจนด้วยความชอบธรรม และตัดสินเผื่อผู้มีใจถ่อมแห่งแผ่นดินโลกด้วยความเที่ยงตรง ท่านจะตีโลกด้วยตะบองแห่งปากของท่าน และท่านจะประหารคนชั่วด้วยลมแห่งริมฝีปากของท่าน ความชอบธรรมจะเป็นผ้าคาดเอวของท่าน และความสัตย์สุจริตจะเป็นผ้าคาดบั้นเอวของท่าน” อิสยาห์11:1-5

เพราะพระเจ้าทรงเป็นความรักมั่นคง และอดทนนาน จึงเกิดเหตุการณ์ที่ไม้กางเขนที่เนินโกลโกทา นอกกรุงเยรูซาเล็ม

เกิดอะไรที่ไม้กางเขนนั่น??

ที่ในสวนเกทเสมะณี พระเยซูอธิษฐานต่อพระบิดาว่า
"โอ พระบิดาของข้าพระองค์ ถ้าเป็นได้ขอให้ถ้วยนี้เลื่อนพ้นไปจากข้าพระองค์เถิด แต่อย่างไรก็ดี อย่าให้เป็นตามใจปรารถนาของข้าพระองค์ แต่ให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์" มัทธิว 26:39
“เมื่อพระองค์ทรงเป็นทุกข์มากนักพระองค์ยิ่งปลงพระทัยอธิษฐาน พระเสโทของพระองค์เป็นเหมือนโลหิตไหลหยดลงถึงดินเป็นเม็ดใหญ่”
ลูกา 22:44

ทำไมพระเยซูจึงร้องขอพระบิดา ว่า “ถ้าเป็นได้ขอให้ถ้วยนี้เลื่อนพ้นไปจากข้าพระองค์เถิด”
อะไรอยู่ในถ้วยนั้น???
ที่ทำให้พระองค์อยู่ในอารมณ์ที่ทุกข์หนักอย่างแสนสาหัสในฝ่ายวิญญาณ และพระองค์ได้ร้องขอต่อพระบิดาขอให้เลื่อนถ้วยนั้นไปก่อน..หากเป็นไปได้...และขณะเดียวกันนั้นพระองค์ยังได้ขอให้สาวกทั้งสามคนที่ไปด้วยคือ เปโตร ยอห์น และยากอบ ให้เฝ้าและอธิษฐานอยู่(อย่างไรก็ตาม เมื่อพระองค์กลับจากอธิษฐานทั้ง 3ครั้ง พวกเขาทั้งสามคนก็ยังหลับอยู่)
ลูกาได้บรรยายไว้ว่า ก่อนที่พระองค์จะไปอธิษฐานในครั้งที่สามนั้น ฑูตสวรรค์ได้ถูกส่งมาให้กำลังแก่พระองค์ (ลูกา 22:43) และหลังจากนั้นพระองค์ก็ทรงทุกข์หนักและพระองค์ทรงอธิษฐานอย่างหนักยิ่งขึ้นจนมีเหงื่อเป็นเลือดหยดลงบนพื้น (ลูกา 22:44) ผู้เขียนพระคัมภีร์ได้บรรยายบอกเป็นนัยว่า พระองค์กำลังต่อสู้ฝ่ายวิญญาณอย่างหนัก กับความบาปที่กำลังก่อตัวขึ้นในจิตวิญญาณของพระองค์ พระองค์ทรงรู้สึกถึงโซ่ตรวนของความบาปได้มาพันรัดอัดแน่นอยู่รอบพระกายและพระวิญญาณของพระองค์ พระองค์ถูกอัดแน่นด้วยความรู้สึกกลัว กระวนกระวาย สิ้นหวัง หดหู่ เศร้าหมอง และหมดอาลัยตายอยากอย่างที่สุดเพราะความบาปของทั้งโลกที่พระองค์กำลังแบกรับอยู่นั้น และพระองค์ก็คาดการณ์ล่วงหน้าถึงการที่พระองค์จะต้องถูกตัดขาดความสัมพันธ์จากพระบิดา เพราะความบาปที่พระองค์แบกรับอยู่นั้นจึงทำให้พระองค์ทรงทุกข์หนักจนเหงื่อกลายเป็นเลือด

พระเยซูทรงทราบว่าถ้วยนั้นคือ.. ถ้วยแห่งพระพิโรธของพระเจ้าพระบิดา !!!
และพระเยซูเองได้บอกกับเหล่าสาวกล่วงหน้าแล้ว หลังจากรับประทานปัสกากับพวกเขาในคืนนั้นแล้วว่า..
"ในคืนวันนี้ท่านทุกคนจะทิ้งเราเพราะเรา ด้วยมีคำเขียนไว้ว่า `เราจะตีผู้เลี้ยงแกะ และแกะฝูงนั้นจะกระจัดกระจายไป'” มัทธิว 26:31
และพระองค์ทรงทราบว่า ด้วยพระประสงค์ของพระบิดาที่ต้องการไถ่มนุษยชาติจากความบาปที่เกิดขึ้นเมื่อครั้งที่อาดัมได้ทำผิดต่อพระเจ้านั้น ซึ่งทุกคนที่เกิดมาภายหลัง ก็เกิดมาในความบาปทั้งสิ้นและมีชีวิตในความบาปโดยไม่รู้ตัว
มนุษย์ทั้งโลกตกอยู่ในความบาปและนี่คือสิ่งที่พระเจ้ามองเห็นมนุษย์เมื่อครั้งที่พระเยซูยังไม่มาไถ่บาป :
“…ไม่มีผู้ใดเป็นคนชอบธรรมสักคนเดียว ไม่มีเลยไม่มีคนที่เข้าใจ ไม่มีคนที่แสวงหาพระเจ้าเขาทุกคนหลงทางไปหมด
เขาทั้งปวงเป็นคนไร้ค่าเหมือนกันทั้งสิ้น
ไม่มีสักคนเดียวที่ทำดี ไม่มีเลยลำคอของเขาคือหลุมฝังศพที่เปิดอยู่
เขาใช้ลิ้นของเขาในการล่อลวง
ภายใต้ริมฝีปากของเขามีพิษของงูร้าย ปากของเขาเต็มด้วยคำแช่งด่าและคำขมขื่น เท้าของเขาว่องไวในการทำให้นองเลือด ในทางเดินของเขามีความพินาศและความทุกข์และเขาไม่รู้จักทางแห่งสันติสุขในแววตาของเขาไม่มีความเกรงกลัวพระเจ้า' โรม 3:10-18

“เพราะว่าทุกคนทำบาปและเสื่อมจากพระเกียรติสิริของพระเจ้า” โรม 3:23
ด้วยมนุษย์นั้นดำเนินชีวิตอยู่ในความบาป และความบาปนั้นก็มาปิดกั้นความสัมพันธ์ที่มนุษย์เคยมีต่อพระเจ้า
จริงๆแล้วพระเจ้าได้ใส่ความรู้เรื่องของพระองค์ไว้ในจิตใจของมนุษย์ทุกคนอยู่แล้ว ลึกๆในใจของเรารู้ดีว่ามีพระเจ้า แต่ความบาป ความมืดดำและการล่อลวงอันแยบยลของเจ้าผู้ครองโลก (ซาตานและลูกสมุนของมัน)นั้นได้พยายามปิดหูปิดตามนุษย์ให้หลงลืมเรื่องของพระผู้สร้างของเขา
และ “เขาใช้ความชั่วร้ายปิดกั้นความจริง (ความจริงเรื่องพระเจ้า)” โรม 1:18
และ“แม้เขาจะรู้จักพระเจ้า แต่พวกเขาก็ไม่ได้ถวายพระเกียรติสิริแด่พระองค์สมกับที่ทรงเป็นพระเจ้า ทั้งยังไม่ได้ขอบพระคุณ แต่กลับคิดในสิ่งไร้สาระ และจิตใจอันโง่เขลาของพวกเขาก็มืดมัวไป” โรม 1:21

แต่ด้วยพระเมตตาอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ที่มีต่อมวลมนุษยชาติ...
และเพราะพระเจ้าทรงดำรงในความยุติธรรม...

ซึ่ง“บาปนั้นได้เข้ามาในโลกเพราะมนุษย์คนเดียว (คืออาดัม) และบาปนำความตายมา และโดยทางนี้เองความตายจึงมาถึงมวลมนุษย์เพราะทุกคนได้ทำบาป” โรม 5:12
และแม้ว่า... “ค่าตอบแทนของความบาปคือความตาย” (โรม 6:23) คือจะต้องมีการตายเกิดขึ้นเพื่อทดแทนความบาปของมวลมนุษย์
แต่พระเจ้าพระบิดาทรงรักมนุษย์มาก แม้ว่าพระองค์ทรงเห็นแล้วว่าไม่มีผู้ใดเลยที่ชอบธรรมในสายพระเนตรของพระองค์ (โรม 3:10-18)
และ “มนุษย์ทุกคนก็เป็นเหมือนลูกแกะที่พลัดหลงไปจากฝูง แต่ละคนก็หันไปตามทางของตน” (อิสยาห์ 53:6)
อย่างไรก็ตามพระองค์ก็ไม่อยากให้มนุษย์ต้องตาย หรือหลงหายอยู่ในโลกที่มืดมิดอีกต่อไป
พระองค์ต้องการ พาเราทุกคนกลับบ้านที่เที่ยงแท้ถาวร
พระองค์ไม่ต้องการให้ผู้ใดต้องตกลงไปในบึงไฟนรกเพราะการตายและถูกตัดขาดจากพระเจ้า

พระองค์ต้องการให้มนุษย์กลับมามีความสัมพันธ์กับพระองค์เหมือนครั้งที่ทรงสร้างอาดัมและเอวาในสวนเอเดนนั้น
...มนุษย์ที่พระองค์ทรงรักมากกว่าสิ่งที่ทรงสร้างทุกชนิด
มนุษย์ที่พระองค์ทรงปั้นด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เองให้มีรูปลักษณ์เหมือนพระองค์
...เพราะพระองค์ไม่ต้องการให้มนุษย์ตายไปจากพระสิริของพระองค์...

พระองค์จึงได้เสียสละพระบุตรของพระองค์มาตายแทนมนุษย์ทั้งโลก!!!

พระเยซู... พระองค์ทรงบริสุทธิ์ และปราศจากความบาปโดยสิ้นเชิง
เพื่อสำแดงความยุติธรรม..พระบิดาจึงได้ใช้ให้พระองค์เข้ามาในโลก...

พระเยซูมาในรูปลักษณ์ที่เหมือนพวกเราทุกคนเพราะมนุษย์นั้นมีความบาปโดยผ่านทางเนื่อหนัง “พระเจ้าทรงใช้พระบุตรของพระองค์มาในสภาพเช่นเดียวกับมนุษย์ ที่เป็นคนบาป เพื่อเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป โดยการกระทำเช่นนี้พระองค์จึงได้ตัดสินลงโทษบาปในมนุษย์ที่อยู่ในเนื้อหนัง” โรม 8:3
การเสด็จมาในโลกของพระองค์เมื่อ สองพันกว่าปีที่แล้วนั้น ก็เพื่อทำพันธกิจอันยิ่งใหญ่เพื่อกอบกู้มวลมนุษยชาติให้พ้นจากบาปและจากความตายซึ่งเป็นผลตอบแทนของความบาป และเพื่อมนุษย์จะได้กลับมามีความสัมพันธ์กับพระเจ้าเหมือนเมื่อครั้งที่พระองค์ทรงสร้างโลกใหม่ๆ
พระองค์มาแบกรับความบาปผิดทั้งหมดทั้งสิ้นของมนุษย์ทั้งโลกไว้ที่พระองค์เอง ...ทั้งๆที่ พระองค์เองไม่มีความบาปเลย แม้แต่เพียงเล็กน้อยก็ไม่มีเลย...
“เป็นน้ำพระทัยของพระยาห์เวห์ที่จะให้ท่าน(พระเยซูคริสต์)ฟกช้ำด้วยความระทมทุกข์ เมื่อพระองค์ทรงกระทำให้วิญญาณของท่านเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป...” อิสยาห์53:10
ซึ่งเหตุการณ์คล้ายๆ สิ่งเดียวกันนี้ พระเจ้าได้ทรงบอกเป็นนัยๆ ก่อนแล้วเมื่อครั้งที่พระองค์ทรงสั่งให้อับราฮัมนำอิสอัคบุตรชายคนเดียวของท่านไปเผาบูชาบนแท่นบูชา แต่นั่นพระเจ้าทรงใช้เพื่อทดสอบความเชื่อของท่าน และเมื่อพระองค์ทรงเห็นการเชื่อฟังของอับราฮัมแล้ว จึงได้จัดเตรียมลูกแกะไว้ให้เผาบูชาแทน (ปฐมกาล 22) แต่เหตุการณ์ครั้งนั้นเป็นการบอกล่วงหน้าเรื่องการลบล้างบาปโดยพระบุตรองค์เดียวของพระองค์เอง
พระบิดาทรงทราบเสมอว่าการทรงไถ่มวลมนุษยชาติที่เต็มไปด้วยสิ่งที่น่าสะอดสะเอียนนั้น... มีเพียงความบริสุทธิ์ของพระเจ้าเท่านั้นที่จะสามารถลบล้างได้
องค์พระเยซูยังทราบอีกว่า พระบิดาเกลียดความบาป เพราะ“ความชั่วช้า (บาป)ของเจ้าทั้งหลายได้กระทำให้เกิดการแยกระหว่างเจ้ากับพระเจ้า...” อิสยาห์ 59:2
และด้วยพระเยซูทรงรักพระบิดามาก พระองค์ไม่ต้องการถูกตัดขาดความสัมพันธ์เลยแม้แต่เสี้ยววินาที
พระองค์จึงร้องขอว่า “ถ้าเป็นได้ขอให้ถ้วยนี้เลื่อนพ้นไปจากข้าพระองค์เถิด”
พระเยซูแม้พระองค์มาเกิดเป็นมนุษย์ แต่พระองค์ทราบแผนการของพระบิดาในเรื่องการทรงไถ่มาตลอด พระองค์ทรงรักและเชื่อฟังพระบิดาทุกอย่าง และพระองค์ไม่ได้กลัวความตาย เหมือนที่มนุษย์ทั่วไปกลัว หรืออย่างที่หลายคนเข้าใจ แต่..
“พระองค์กลัวการถูกตัดขาดความสัมพันธ์จากพระบิดา” ต่างหาก เพราะพระบิดาและพระบุตรนั้นมีความแนบสนิทเป็นหนึ่งเดียวมาตลอด และการถูกตัดขาดแม้เพียงเสี้ยววินาที่เดียวก็ไม่เป็นที่ปรารถนาของทั้งพระบุตรและพระบิดาเลย แต่พระองค์ก็ต้องเชื่อฟังพระบิดา และทำตามน้ำพระทัยพระองค์ เพื่อพันธกิจการทรงไถ่มวลมนุษย์ชาติอันยิ่งใหญ่จะสำเร็จตามพระประสงค์

หลังจากอธิษฐานที่สวนเกทเสมะณี พระองค์ไม่ได้งีบหลับเลยทั้งคืนนั้น พระองค์ถูกจับ และสาวกของพระองค์ก็ทิ้งพระองค์ไป พระองค์ถูกนำไปสอบสวนหาความผิด ถูกถ่มน้ำลายรดหน้า ถูกเฆี่ยนตีอย่างทารุณโดยทหารโรมัน
ถูกดูถูกเหยียดหยามจากชาวยิวที่ไม่เชื่อว่าพระองค์เป็นพระเมสสิยาห์
สภาพของพระองค์ในเวลานั้นเป็นไปตามที่ได้บรรยายไว้แล้วจากบรรดาผู้เผยพระวจนะตั้งแต่โบราณกาล;

“ด้วยคนเป็นอันมากตะลึงเพราะท่านฉันใด หน้าตาของท่านเสียโฉมมากกว่ามนุษย์คนใด
และรูปร่างของท่านก็เสียโฉมมากกว่าบุตรทั้งหลายของมนุษย์คนใด” อิสยาห์ 52:14

“ท่านได้ถูกมนุษย์ดูหมิ่นและทอดทิ้ง เป็นคนที่รับความเศร้า
โศกและคุ้นเคยกับความระทมทุกข์
และดังผู้หนึ่งซึ่งคนทนมองดูไม่ได้
ท่านถูกดูหมิ่น และเราทั้งหลายไม่ได้นับถือท่านแน่ทีเดียวท่านได้แบกความระทมทุกข์ของเราทั้งหลาย
และหอบความเศร้าโศกของเราไป
กระนั้นเราทั้งหลายก็ยังถือว่าท่านถูกตี
คือพระเจ้าทรงโบยตีและข่มใจแต่ท่านถูกบาดเจ็บเพราะความละเมิดของเราทั้งหลาย
ท่านฟกช้ำเพราะความชั่วช้าของเรา
การตีสอนอันทำให้เราทั้งหลายปลอดภัยนั้นตกแก่ท่าน...
ท่านถูกบีบบังคับและท่านถูกข่มใจ
ถึงกระนั้นท่านก็ไม่ปริปาก
เหมือนลูกแกะที่ถูกนำไปฆ่า
และเหมือนแกะที่เป็นใบ้อยู่หน้าผู้ตัดขนของมันฉันใด
ท่านก็ไม่ปริปากของท่านเลยฉันนั้นท่านถูกนำไปจากคุกและท่านไม่ได้รับความยุติธรรมเสียเลย
และผู้ใดเล่าจะประกาศเกี่ยวกับพงศ์พันธุ์ของท่าน
เพราะท่านต้องถูกตัดออกไปจากแผ่นดินของคนเป็น
ต้องถูกตีเพราะการละเมิดของชนชาติของเรา” อิสยาห์ 53:3-5, 7-8

ที่บนไม้กางเขน
พระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขนตั้งแต่ 9 โมงเช้าของวันศุกร์ และทรงสิ้นพระชนม์เวลา บ่ายสามโมงในวันเดียวกัน
6 ชั่วโมงแห่งการทนทุกข์ทรมานอย่างที่สุดบนไม้กางเขน อันต่อเนื่องจากการไม่ได้หลับเลยทั้งคืน ทั้งยังถูกเฆี่ยนตีอย่างแสนสาหัส ถูกดูถูกเหยียดหยาม ดูหมิ่นดูแคลนทั้งๆที่พระองค์ไม่เคยทำความบาปเลย
ในฝ่ายร่างกายนั้น พระองค์ทรงเหน็ดเหนื่อยหลังจากถูกเฆี่ยนตีและไม่ได้นอนมาทั้งคืน ความระโหยโรยแรงจากการแบกไม้กางเขนที่หนักอึ้ง ล้มลุกคลุกคลานตั้งแต่จากในเมืองออกมาที่เขากลโกธาซึ่งเป็นระยาทางที่ไกลมาก และในระหว่างทางนั้นก็มีทหารโรมัน รวมทั้งชาวยิวและพวกฟาริสีที่เกลียดชังพระองค์คอยติดตามและด่าทอ เสียดสี และเหยียดหยามพระองค์มาตลอดเส้นทาง
เมื่อมาถึงเขากลโกธานั้น พระองค์ก็ต้องทนต่อความเจ็บปวดจากการถูกตอกตะปูที่มือและเท้า และจากน้ำหนักตัวที่ถ่วงจากการตรึงมือและเท้าบนไม้กางเขนนั้น ทำให้พระองค์ต้องออกแรงต้านอย่างหนักเพื่อที่จะหายใจได้ในแต่ละครั้งง ทั้งยังอยู่ท่ามกลางแสงแดดที่แผดเผา ร้อนและกระหาย ศีรษะมีมุงกุฎหนามที่ถูกพวกทหารโรมันนำมาสวมให้เพื่อล้อเลียนพระองค์ก็ทิ่มแทงศีรษะพระองค์มีพระโลหิตไหลออกมา ทั้งต้องทุกข์ทรมานจากความเจ็บปวดของแผลตามตัวที่ถูกเฆี่ยนนั้น ไม่มีคนบาปคนไหนเลยในโลกที่ถูกกระทำการทารุณทั้งทางร่างกายและจิตใจมากมายเยี่ยงพระองค์

ฝ่ายวิญญาณ...ที่บนไม้กางเขนนั้น พระเยซูทรงแบกรับความบาปของมวลมนุษยชาติไว้จนหนักอึ้ง พระองค์รับรู้ความรู้สึกทั้งหมดของคนที่ตกอยู่ในความบาป
ความหวาดกลัว ความอับอาย การรู้สึกผิด การเกลียดชังความบาปในตัวเอง ความทุกข์ใจ ความสับสน ความกระวนกระวายใจ ความเศร้า หดหู่และสิ้นหวังอย่างที่สุดของคนทั้งโลกมากองรวมกันไว้ที่พระองค์เพียงผู้เดียว คุณลองจินตนาการดูว่า...แม้ในความระทมทุกข์ของเราเพียงคนเดียวนั้น บางครั้งที่เรามองไปทางใดก็มืดมนไปหมด หาทางออกไม่เจอ ด้วยความทุกข์แสนสาหัสนั้น บางคนถึงกับอยากฆ่าตัวตายตายให้รู้แล้วรู้รอดไป
แล้วความทุกข์ที่ท่วมท้นของทุกคนที่ไปกองอยู่บนบ่าของพระองค์เพียงผู้เดียวจะหนักกว่านั้นสักเพียงใด ????

และการถูกทอดทิ้งจากพระบิดาที่รักของพระองค์นั้นทำให้จิตใจของพระองค์ ถูกโอบล้อมไปด้วยความสิ้นหวัง และโดดเดี่ยว ไม่มีที่พึ่งเลย
ด้วยในช่วงเวลานั้นพระบิดาใด้ทิ้งพระองค์ไป เพราะความบาปที่ท่วมทับในพระองค์
“ในชั่วขณะหนึ่งของความโกรธ เราเบือนหน้าหนีไปจากเจ้า” (อิสยาห์ 54:8)
ด้วยความบาปทั้งมวลนั้นเป็นสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า เพราะพระองค์ทรงเกลียดความบาปแม้ว่าความบาปนั้นจะอยู่ที่พระบุตรของพระองค์เองก็ตาม
เพราะ “คนโอ้อวด (คนบาป) ไม่อาจยืนอยู่ต่อหน้าพระองค์ได้ พระองค์ทรงเกลียดชังผู้กระทำความชั่วช้าทั้งสิ้น” สดุดี5:5

เกิดความมืดมัวไปทั่วทั้งแผ่นดินตั้งแต่เที่ยงวันไปจนถึงบ่ายสามโมง
ราวบ่ายสามโมงพระองค์ร้องเสียงอันดังว่า “เอโลอี เอโลอี สะบักธานี” ซึ่งแปลว่า “พระเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์ ทำไมทรงทอดทิ้งข้าพระองค์” (มัทธิว 27:45-46)
เมื่อพระองค์ทรงทราบว่าทุกสิ่งสำเร็จครบถ้วน...พระองค์ทรงตรัสว่า “สำเร็จแล้ว” (ยอห์น 19:28, 30)
“และขณะนั้นเองม่านในพระวิหารก็ขาดเป็นสองท่อนตั้งแต่บนจรดล่าง เกิดแผ่นดินไหว ศิลาแตกออกจากกัน” (มัทธิว 27:51)
การสิ้นพระชนม์ของพระเยซูที่ไม้กางเขนนั้น เป็นการชนะอำนาจวิญญาณชั่วร้าย ชนะความบาปและชนะความตายทั้งสิ้นที่พวกบรรดาผีมารซาตาน เทพผู้ครอง ศักดิเทพ อิทธิเทพ และเทพต่างๆ ได้นำเข้ามาสู่โลกมนุษย์ตั้งแต่ครั้งที่ซาตานได้ตกลงมาจากสวรรค์เมื่อครั้งโบราณกาล
“...โดยความตายพระองค์จะได้ทรงทำลายผู้นั้นที่มีอำนาจแห่งความตาย คือพญามารและจะได้ทรงช่วยเขาเหล่านั้นให้พ้นจากการเป็นทาสชั่วชีวิต เพราะเหตุกลัวความตาย” ฮีบรู 2:14-15

พระองค์ถูกนำไปวางไว้ในอุโมงค์ใหม่ และใช้หินกลิ้งปิดปากอุโมงค์ไว้ (มัทธิว 27:60)
และหลังจากนั้น 3 วัน พระบิดาได้ทำให้พระองค์ฟื้นขึ้นมาจากความตาย (มัทธิว 28)... เพราะพระเจ้าทรงตรัสไว้ว่า“เราทอดทิ้งเจ้าชั่วประเดี๋ยวหนึ่ง แต่ด้วยความเมตตาอย่างลึกซึ้ง เราจะพาเจ้ากลับมา” อิสยาห์ 54:7

ทั้งหมดนี้เป็นการแสดงออกถึงความยุติธรรมและความรักอันยิ่งใหญ่ที่พระเจ้ามีต่อมนุษย์ทุกคนโดยผ่านทางพระบุตรของพระองค์คือองค์พระเยซูคริสต์
พระเยซูทรงถูกใช้จากพระบิดาให้มาไถ่บาปของมวลมนุษยชาติ และพระองค์ได้ทำสำเร็จแล้วบนไม้กางเขนนั่น!!!!

ความผิดบาปโดยอาดัม ความชอบธรรมโดยพระคริสต์
“เพราะว่าถ้าโดยการละเมิดของคนนั้นคนเดียว เป็นเหตุให้ความตายครอบงำอยู่โดยคนนั้นคนเดียว มากยิ่งกว่านั้นคนทั้งหลายที่รับพระคุณอันไพบูลย์และรับของประทานแห่งความชอบธรรม ก็จะดำรงชีวิตและครอบครองโดยพระองค์ผู้เดียว คือพระเยซูคริสต์)ฉะนั้นการพิพากษาลงโทษได้มาถึงคนทั้งปวงเพราะการละเมิดของคนๆเดียวฉันใด ความชอบธรรมของพระองค์ผู้เดียวก็นำของประทานแห่งพระคุณมาถึงทุกคนฉันนั้น คือความชอบธรรมแห่งชีวิต” โรม 5:17-18
ม่านในพระวิหารขาด เมื่อพระองค์ทำสำเร็จนั้น แสดงถึงการที่พระองค์ทรงเป็นสื่อกลางเป็นปุโรหิตหลวงให้เราได้คืนดีกับพระเจ้าโดยผ่านทางพระนามของพระองค์ การติดต่อกับพระเจ้าไม่ต้องใช้ปุโรหิตที่เป็นมนุษย์อีกต่อไป
ต่อจากนี้ก็เป็นหน้าที่ของเราว่าเราจะรับความรัก ความเมตตา โดยการกลับมามีความสัมพันธ์กับพระเจ้าหรือไม่???
“เพราะว่าคนเป็นอันมากเป็นคนบาปเพราะคนๆเดียวที่มิได้เชื่อฟังฉันใด
คนเป็นอันมากก็เป็นคนชอบธรรมเพราะพระองค์ผู้เดียว (พระเยซู)ที่ได้ทรงเชื่อฟังฉันนั้น” โรม5:19

ขอให้เรากลับมาถึงบ้านแท้ของเราโดยทางพระองค์
พระเยซูตรัสกับเขาว่า "เราเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาได้นอกจากมาทางเรา” ยอห์น 14:6
การสิ้นพระชนม์ของพระเยซูที่บนไม้กางเขนนั้น เป็นเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่และสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ
ซึ่งสิ่งที่เป็นไปทั้งหมดนั้น ไม่สามารถบรรยายให้เข้าใจทั้งหมดได้ด้วยภาษาของมนุษย์
เพราะเป็นพันธกิจที่ที่เหนือธรรมชาติของพระบุตรพระเจ้า
เป็นเรื่องการไถ่วิญญาณที่เป็นอมตะ หรือไม่รู้จักตายนั้นกลับคืนสู่แดนสวรรค์
บางคนถามว่า ผู้ชายเพียงคนเดียวสามารถไถ่บาปมนุษย์ทั้งโลกได้หรือ?
และถามว่า ทำไมต้องเป็นพระเยซู??

คำตอบเดียวคือ..เลือดและเนื้อของพระเยซูสามารถลบล้างบาปทั้งหมดของมนุษย์ได้...
เพราะว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า...องค์บริสุทธิ์...บริสุทธิ์...และบริสุทธิ์...
จึงสามารถทดแทนความบาปของมนุษย์ทั้งโลกได้!!!

“ดังที่พระองค์ได้ทรงโปรดให้พระบุตรมีอำนาจเหนือเนื้อหนังทั้งสิ้น เพื่อให้พระบุตรประทานชีวิตนิรันดร์แก่คนทั้งปวงที่พระองค์ทรงมอบแก่พระบุตรนั้น และนี่แหละคือชีวิตนิรันดร์ คือที่เขารู้จักพระองค์ ผู้ทรงเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียว และรู้จักพระเยซูคริสต์ที่พระองค์(หรือพระยาห์เวห์พระบิดา)ทรงใช้มา”
ยอห์น 17:2-3
Holy...Holy...Holy!!!! เราขอสรรเสริญพระผู้ไถ่ของเราว่า บริสุทธิ์ บริสุทธิ์ พระเจ้าองค์บริสุทธิ์ องค์จอมกษัตริย์พระผู้ไถ่ของเรา.



วันจันทร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2552

คุณแน่ใจหรือว่าคุณรอดแล้ว??

“...ผู้ที่ทนได้จนถึงที่สุด ผู้นั้นจะรอด” มัทธิว 24:13
“ท่านจะถูกคนทั้งปวงเกลียดชังเพราะเห็นแก่นามของเรา แต่ผู้ใดที่ทนได้ถึงที่สุด ผู้นั้นจะรอด” มัทธิว10:22
“ถ้าคนชอบธรรมจะรอดพ้นไปได้อย่างยากเย็นแล้ว คนอธรรมและคนบาปจะไปอยู่ที่ไหน” 1 เปโตร 4:18
..ฝ่ายคนทั้งหลายที่ได้ยินจึงว่า "ถ้าอย่างนั้นใครจะรอดได้" ลูกา 18:26

จากข้อพระคัมภีร์ข้างบน ทำให้ดิฉันเข้าใจมากขึ้นว่าความรอดไม่ใช่ของล้อเล่น!!!
ความรอดเป็นของประทานจากพระเจ้าผ่านทางพระบุตรองค์เดียวคือองค์พระเยซูคริสต์ ที่พระองค์ทรงแบกรับความบาปของพวกเราทุกๆ คน ไว้ที่พระองค์เอง เพื่อให้เราได้รับการไถ่ และได้กลับมาคืนดีกับพระบิดาพระเจ้าองค์บริสุทธิ์

แต่น่าเสียดายที่มีคนเอาความรอดอันมีค่าสูงส่งมาเหยียบย่ำโดยการสอนผิดๆ บิดเบือนจากความจริง (ทั้งที่โดยรู้ตัวและไม่รู้ตัว โดยผ่านการล่อลวงอันแยบยลของซาตานและสมุนของมัน) แล้วพาลูกแกะของพระเจ้าหลงหายออกนอกเส้นทางจากชีวิตนิรันดร์

หากความรอดนั่น ต้องแลกมาด้วยทั้ง เลือด เนื้อ และชีวิตของพระเยซูคริสต์แล้ว…
คุณคิดว่า… แค่การกล่าวคำอธิษฐานรับเชื่อสั้นๆ ตามการกล่าวนำของใครบางคน ที่เรียกตัวเองว่าเป็นผู้รับใช้พระเจ้า หรือศิษยาภิบาล ทั้งชอบทำตัวเป็นฟาริสียุคศตวรรษที่ 21 ที่หยิ่งยโสโอหังไม่ยอมฟังคำตักเตือนจากคนของพระเจ้า ทั้งยังปิดหูปิดตาไม่แสวงหาความจริงจากพระองค์ แต่เชื่อแบบผิดๆที่สอนต่อๆกันมา เลือกเชื่อเฉพาะส่วนที่ตนต้องการ ตามที่ได้เขียนไว้ในหนังสือของ มาลาคี 2:8-9…
“เจ้าเองได้หันไปเสียจากทางนั้น เจ้าเป็นเหตุให้หลายคนสะดุดเพราะเหตุราชบัญญัติ พระเยโฮวาห์จอมโยธาตรัสว่า เจ้าได้กระทำให้พันธสัญญาของเลวีเสื่อมไป ดังนั้นเราจึงกระทำให้เจ้าเป็นที่ดูหมิ่นและเหยียดหยามต่อหน้าประชาชนทั้งปวง ให้สมกับที่เจ้ามิได้รักษาบรรดาวิถีทางของเรา แต่ได้แสดงอคติในการสอนราชบัญญัติ" ….

ทั้งๆที่หลักฐานก็มีอยู่อย่างชัดเจน ในพระคัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ และยังอ้างว่า ฉันBorn Christian!!มั่ง ฉันจบด็อกเตอร์จากเมืองนอกมั่ง ฉันเรียนจบโรงเรียนพระคริสตธรรมมั่ง ฉันรับใช้มา40 – 50 ปี มั่ง แล้วผู้ที่กล่าวคำรับเชื่อตามผู้นั้นก็ยังดำเนินชีวิตในความบาปเหมือนเดิมอยู่นั้น สมควรกับของประทานอันมีค่ายิ่งจากสวรรค์หรือไม่??? พระเจ้าบอกให้เราไปทางประตูที่คับของพระเยซู แต่หลายท่านกลับลืมสอนเน้นย้ำถึงทางที่แคบที่เราจะต้องบากบั่นเพื่อเขาสู่แผ่นดินสวรรค์
เพราะว่า “ผู้ที่หาพบก็มีน้อย”

“จงเข้าไปทางประตูแคบ เพราะว่าประตูใหญ่และทางกว้างนั้นนำไปถึงความพินาศ และคนที่เข้าไปทางนั้นมีมาก เพราะว่าประตูซึ่งนำไปถึงชีวิตนั้นก็คับและทางก็แคบ ผู้ที่หาพบก็มีน้อย”
มัทธิว 7:13-14

ก่อนอื่นดิฉันขอปูพื้นฐานเกี่ยวความรอดก่อนค่ะ เพราะคนทั่วไปที่ยังไม่รู้จักการดำเนินชีวิตกับพระเจ้าก็จะงงๆกับคำว่าความรอด(Salvation) เรามักจะใช้คำง่ายๆในการอธิบายว่า
“ถ้าเราเกิดหนึ่งครั้งจะตายสองครั้ง แต่ถ้าเราเกิดสองครั้งจะตายแค่ครั้งเดียว”
  • “ถ้าเกิดหนึ่งครั้ง จะตายสองครั้ง” คือ เมื่อคนๆหนึ่งเกิดมาจากครรภ์มารดา เราเรียกว่าการเกิดฝ่ายเนื้อหนังคือการเกิดครั้งที่หนึ่ง แล้วถ้าคนนั้นดำเนินชีวิตไปเรื่อยตามครรลองของชาวโลกทั่วๆไป เมื่อเขาตาย จะตายถึงสองครั้ง คือ 1).การตายฝ่ายร่างกายหรือเนื้อหนัง และ 2).การตายฝ่ายวิญญาณด้วย
    การตายฝ่ายวิญญาณนั้น จะทำให้ถูกตัดขาดจากความสัมพันธ์กับพระเจ้าและเนื่องจากจิตวิญญาณของเรานั้นเป็นอมตะ (Immortal) หรือไม่มีการดับสูญ ฉะนั้นก็ต้องการที่อยู่ แล้วเราที่เป็นคริสเตียนทุกคนรู้ดีว่านั่นคือการลงไปอยู่ในนรกชั่วกัลปาวสานตามที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ “แล้วความตายและนรกก็ถูกผลักทิ้งลงไปในบึงไฟ นี่แหละเป็นความตายครั้งที่สอง” วิวรณ์ 20:14

  • “ถ้าเกิดสองครั้ง จะตายเพียงหนึ่งครั้ง” เกิดครั้งที่หนึ่งคือเกิดจากครรภ์มารดาหรือการเกิดในทางเนื้อหนังหรือการเกิดมาเป็นตัวเป็นตนอย่างพวกเรานี่ล่ะค่ะ ส่วนการเกิดครั้งที่สองนั้น คือการเกิดฝ่ายวิญญาณเมื่อเรามาเชื่อพระเจ้าผ่านทางพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ โดยความเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้าและเป็นผู้ที่สามารถไถ่เราออกจากความบาปทั้งหมดที่เราเคยทำมาตลอดชีวิตของเรา เราก็จะได้รับของประทานพิเศษจากพระเจ้าคือพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้มาทำงานอยู่ในจิตวิญญาณของเรา นั่นคือเรามาถึงความรอดแล้ว…..คือการกลับมามีความสัมพันธ์อันดีกับพระผู้สร้างของเรา และชื่อของเราก็จะถูกบันทึกลงในหนังสือแห่งชีวิตบนสวรรค์ และถ้าเราดำเนินชีวิตที่เหลืออยู่นั้นโดยการดำรงอยู่ในความเชื่อในพระเจ้าอย่างสุดหัวใจ ถวายร่างกายและจิตวิญญาณแด่พระองค์ เป็นของถวายที่มีชีวิตอยู่ พึ่งพาพระเจ้าทุกย่างก้าวของชีวิต และทำทุกอย่างตามน้ำพระทัยของพระองค์แล้ว เราก็จะไม่กลัวความตาย เพราะเรารู้ดีว่าเราจะตายอีกเพียงครั้งเดียว คือตายฝ่ายเนื้อหนัง และเรามีความหวังใจว่าจิตวิญญาณของเราจะได้กลับไปอยู่ในแดนบรมสุขเกษม หรืออยู่ในแผ่นดินสวรรค์ร่วมกับพระผู้ทรงสร้างของเราอย่างแน่นนอน
แต่……พี่น้องที่เรียกตัวเองว่าคริสเตียนคะ…. คุณเคยสำรวจชีวิตของคุณมั๊ยคะว่าคุณมั่นใจแค่ไหนในความรอดของคุณ?

บางคนจะตอบว่า แน่ใจซิ…เพราะว่าผมรับเชื่อพระเยซูแล้ว และรับบัพติสมาแล้วด้วยนะ

บางคนก็ตอบว่า แน่ใจซิ…ก็ศิษยาภิบาลเค้ายืนยันแน่นอนแล้วนี่

พี่น้องที่รักคะ เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญมากที่ดิฉันอยากจะแบ่งปัน เพราะว่าตั้งแต่ที่ดิฉันมาดำเนินชีวิตตามอยู่ในสังคมคริสตียนและได้แสวงหาพระเจ้าอย่างสุดหัวใจจริงๆ แล้วดิฉันสังเกตว่า หลายๆคนซึ่งรวมๆแล้วอาจจะมากกว่า 80% ที่เรียกตัวเองว่าคริสเตียนนั้น มีการดำเนินชีวิตที่แทบจะไม่แตกต่างจากครรลองของชาวโลกทั่วไปเลย

ขอนอกเรื่องนิ๊ดนึงนะคะ คือว่าดิฉันได้มาเชื่อพระเจ้าก่อนที่จะย้ายไปอยู่ที่อเมริกาประมาณ 1 ปี และใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นระยะหนึ่ง พระเจ้าได้เปิดเผยให้ดิฉันได้เรียนรู้อะไรอย่างมากมาย แล้วพระองค์จึงเรียกกลับมาที่เมืองไทย ดิฉันจึงมีประสบการณ์คลุกคลีกับสังคมทั้งคริสเตียนไทยและคริสเตียนอเมริกันด้วย ดิฉันได้สังเกตเห็นว่า คนดีๆที่น่านับถือก็พอมีอยู่บ้างค่ะ แต่ที่แปลกมากคือส่วนใหญ่ยังมีความเย่อหยิ่ง มีความโลภ รักเงินทองมากกว่าพระเจ้า ฉ้อโกง อิจฉาริษยา ชอบนินทา ชอบตัดสินและตำหนิคนอื่น ยกตนข่มท่าน รักร่วมเพศ ล่วงประเวณี หน้าซื่อใจคด ปากพูดว่ารักพระเจ้าแต่การกระก็อีกอย่างหนึ่ง ฯลฯ

ดิฉันอยู่ที่โน่น (อเมริกา)เราถูกคนที่ไปโบสถ์เดียวกันโกงเงินอย่างไม่มียางอาย ด้วยความที่เราเป็นชาวต่างชาติก็ไม่อยากมีเรื่องกับใคร และด้วยพระเจ้าสอนให้เราอยู่อย่างสงบกับทุกคน (ฮีบรู 12:14 “จงอุตส่าห์ที่จะสงบสุขอยู่กับคนทั้งปวง”KJV) และดิฉันสังเกตดู ก็เหมือนกับว่าหลายๆคน ก็ไปโบสถ์ทั้งไทยและเทศ ก็ไปกันเพียงเป็นพิธี หรือไม่ก็ไปใช้โบสถ์เป็นสถานที่สำหรับการพบปะสังสรรค์กัน บ้างก็ไปใช้เป็นที่ติดต่อธุรกิจ ซึ่งดูแล้วสถานการณ์ก็ไม่ต่างจากสมัยที่พระเยซูยังทรงพระชนม์อยู่เลยที่ พระองค์ตรัสกับเขาใน มัทธิว 21:13 ว่า "มีพระวจนะเขียนไว้ว่า `นิเวศของเราเขาจะเรียกว่าเป็นนิเวศอธิษฐาน' แต่เจ้าทั้งหลายมากระทำให้เป็น `ถ้ำของพวกโจร'"

พี่น้องคะ คุณเห็นเหมือนที่ดิฉันเห็นมั๊ยคะ? ดิฉันว่า เรื่องนี้เป็นหัวใจของการดำเนินชีวิตคริสเตียนเลยนะคะ
มีหนังสือเล่มหนึ่งที่มีส่วนกระตุ้นให้ดิฉันมาใส่ใจกับเรื่องนี้มากขึ้น คือหนังสือ“เปิดภาพนรก”ของ คุณมรี่ เค แบ็กซ์เทอร์ (ไม่ได้ค่าโฆษณาหรอกนะคะ แต่ขอแนะนำว่าหาอ่านให้ได้ค่ะ)

พี่น้องคะ เคยคิดมั้ยคะว่า เหตุการณ์ในมัทธิว 7:21-23 ที่กล่าวว่า
…..“ มิใช่ทุกคนที่ร้องแก่เราว่า `พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า' จะได้เข้าในอาณาจักรแห่งสวรรค์ แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระทัยพระบิดาของเราผู้ทรงสถิตในสวรรค์จึงจะเข้าได้ เมื่อถึงวันนั้นจะมีคนเป็นอันมากร้องแก่เราว่า `พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์ได้พยากรณ์ในพระนามของพระองค์ และได้ขับผีออกในพระนามของพระองค์ และได้กระทำการมหัศจรรย์เป็นอันมากในพระนามของพระองค์มิใช่หรือ เมื่อนั้นเราจะแจ้งแก่เขาว่า `เราไม่เคยรู้จักเจ้าเลย เจ้าผู้กระทำความชั่วช้า จงไปเสียให้พ้นจากเรา'

ถ้าเหตุการณ์นี้เกิดกับเราล่ะ??????
ที่น่ากลัวก็เพราะว่า เมื่อถึงเวลานั้นแล้ว เราไม่มีสิทธิ์ต่อรองแล้วค่ะ เพราะว่ามันสายไปซะแล้ว!!!

จะดีกว่ามั๊ยค่ะ…..
ถ้าเราจะมาตั้งใจเดินตามพระเจ้าด้วยการทุ่มเทความรักให้กับพระองค์อย่างสุดหัวใจจริงๆ
ไม่ใช่รักแต่ปาก แต่การกระทำก็อีกอย่างหนึ่ง

คุณเห็น Key words นี้ “มิใช่ทุกคนที่ร้องแก่เราว่า `พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า' จะได้เข้าในอาณาจักรแห่งสวรรค์ แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระทัยพระบิดาของเราผู้ทรงสถิตในสวรรค์จึงจะเข้าได้” ที่พระเยซูคริสต์เป็นผู้
ตรัสเองแล้วใช่มั๊ยคะ
จะมีอะไรต่างจากนั้นอีกเล่า ทุกคำก็ตรงไปตรงมา ความหมายครบถ้วน
คุณก็อาจจะแย้งว่า อ้าวก็มีพระคัมภีร์เขียนไว้อีก
ในหนังสือโรม 10:13 ว่า “เพราะว่า `ผู้ใดที่จะร้องออกพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้าก็จะรอด

ใช่ค่ะ แต่นั่นเป็นบริบทที่เมื่อถูกกดขี่ข่มเหงอย่างรุนแรงและนำไปสู่การบังคับให้ละทิ้งความเชื่อหรือห้ามเอ่ยพระนามพระเจ้าพระเยซูคริสต์ เช่น เมื่อเขามาสั่งคุณให้คุกเข่าต่อหน้ารูปเคารพหรือพระอย่างอื่นที่ไม่ใช่พระยาห์เวห์แล้วให้ไหว้ ถ้าไม่ทำตามจะต้องถูกตัดศีรษะ
บางคนก็อาจจะยกข้อพระคัมภีร์จาก หนังสือโรม10:10 ว่า
“ด้วยว่าความเชื่อด้วยใจก็นำไปสู่ความชอบธรรม และการยอมรับด้วยปากก็นำไปสู่ความรอด”

แล้วได้อธิษฐานรับเชื่อด้วยปาก และอธิษฐานอย่างจริงใจ
แล้วศิษยาภิบาลก็ประกาศในที่ประชุมว่าผู้นั้นได้รับความรอดแล้วตั้งแต่วันนั้น
แต่เขาคนนั้นก็ไม่ได้มาโบถส์อีกเลย หรือมามั่งไม่มามั่ง และที่สำคัญที่สุดคือยังไม่พบการเปลี่ยนแปลงใดๆในชีวิตของเขาที่บ่งชี้ว่าเขาได้บังเกิดใหม่อย่างแท้จริงเลย...
แต่เขาก็ยังเชื่อมั่นอย่างคิดไปแบบเข้าข้างตัวเองว่าจากการอธิษฐานรับเชื่อแล้วนั้น เขาอธิษฐานอย่างจริงใจและเต็มใจ เขามั่นใจว่าได้รับความรอดแล้วอย่างแน่นอน
แต่ความจริงก็คือที่สุดแล้ว หากเขายังใช้ชีวิตอยู่ในความบาปเหมือนเดิม
ท้ายที่สุดคือไปสู่บึงไฟนรกค่ะ!!!!!

ทำไมน่ะหรือ????

เพราะความคิดของคุณไม่ใช่ความคิดของพระเจ้า...

"เพราะฟ้าสวรรค์สูงกว่าแผ่นดินโลกฉันใด วิถีของเราสูงกว่าทางของเจ้า และความคิดของเราก็สูงกว่าความคิดของเจ้าฉันนั้น " อิสยาห์55:9



ผู้รับใช้พระเจ้าเทียมเท็จสอนต่อๆกันมาว่า... ถ้าคุณอธิษฐาน รับเชื่อตามคำที่เขาบอก 2-3 ประโยค เขาก็จะรอด ซึ่งเป็นการทำร้ายลูกแกะอย่างร้ายกาจและพาหลงทางโดยสิ้นเชิง
หากเขาคนนั้นไม่มีใจที่แสวงหาพระองค์อย่างจริงจังในภายหลัง

แต่ถ้า...เขาเชื่อด้วยใจจริงๆแล้ว
...ก็จะต้องนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในความประพฤติ และแนวทางการดำเนินชีวิตก็ต้องเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

เพราะ คำว่า “ใจ”หรือ “Heart” ในพระคัมภีร์นั้นหมายถึง "ศูนย์กลางแห่งชีวิต"

และเมื่อ"เชื่อด้วยใจ" ก็คื “มีพระเจ้าเป็นศูนย์กลางของชีวิต”

พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะนำให้เขาเริ่มมองเห็นความบาปของตัวเอง และเขาจะเกลียดความบาปที่เขาเคยทำอยู่นั้น
เช่น หากเขาเคยสูบบุหรี่ เขาก็จะเริ่มรู้สึกไม่ชอบกลิ่นอันน่ารังเกียจของมันและไม่สูบอีกเลย หากเขาเคยดื่มเหล้า หรือชอบนอนกับใครต่อใครโดยไม่เลือกหน้า หรือหญิงบางคนก็อาจจะเคยชอบแต่งตัวยั่วยวน หรือบางคนที่ชอบคุยโวโอ้อวด หรือมีความคุ้นเคยในความบาปใดๆก็แล้วแต่ เขาก็จะค่อยๆ หันหลังให้ความบาปเหล่านั้น เพราะพระเจ้าทรงสัญญาไว้ว่าพระองค์จะทรงประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้อยู่ด้วยกับผู้เชื่อและวางใจในพระองค์ทุกคน ตามหนังสือยอห์น 15:26 ที่พระเยซูตรัสกับเหล่าสาวกว่า…
.. “เมื่อพระองค์ผู้ปลอบประโลมใจที่เราจะใช้มาจากพระบิดามาหาท่านทั้งหลาย คือพระวิญญาณแห่งความจริง ผู้ทรงมาจากพระบิดานั้นได้เสด็จมาแล้ว พระองค์นั้นจะทรงเป็นพยานถึงเรา ...16:13 เมื่อพระองค์ พระวิญญาณแห่งความจริงจะเสด็จมาแล้ว พระองค์จะนำท่านทั้งหลายไปสู่ความจริงทั้งมวล ”

ชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปนั้น เป็นอย่างค่อยเป็นค่อยไป และเป็นธรรมชาติ
เขาจะไม่รู้สึกฝืนในจิตใจ แต่จะมีสันติสุขอย่างที่โลกให้ไม่ได้
แม้อาจจะต้องเผชิญการทดสอบบ้างในบางครั้ง แต่ด้วยการพึ่งพาในกำลังของพระเจ้า
เขาก็จะผ่านไปได้ด้วยดี
ซึ่งต้องอาศัยความหนักแน่น และความอดทนอย่างมาก
การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นก็จะเป็นไปตามระดับการเติบโตฝ่ายวิญญาณ
หรือตามระดับความสัมพันธ์ส่วนบุคคลที่แนบสนิทระหว่างเขากับองค์พระผู้เป็นเจ้า
เขาจะค่อยๆถ่อมใจลง ค่อยๆลดความเห็นแก่ตัวลงไปเรื่อยๆ มองเห็นความคิด มุมมอง คำพูด และการกระทำของตนเองที่ค่อยๆเปลี่ยนแปลงไปในแนวทางที่ชอบธรรมของพระเจ้า
เขาจะชอบศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับพระเจ้า พระวจนะของพระองค์ และพยายามที่จะจดจำพระคำไว้ในใจให้มากที่สุด เพราะเขารู้ว่า พระวจนะเป็นความจริง เป็นอาวุธ และมีชีวิต
เขาอยากรู้อยากเห็นพระองค์มากขึ้นเรื่อย หิวกระกายหาพระองค์ตลอดเวลา
รู้สึกตื่นเต้นกับชีวิตใหม่ที่ได้รับ และทุกๆเช้าเขาก็อยากอ่านพระคัมภีร์เพราะเขาอยากรู้ว่าพระเจ้าจะตรัสอะไรกับเขาในวันนี้
เขาเชื่อและมีความหวังในชีวิต วางใจในพระเจ้าอย่างสุดหัวใจ เขาพยายามที่จะพึ่งพาและปรึกษาพระองค์ในทุกๆเรื่องโดยเฉพาะเรื่องใหญ่ๆในชีวิต ทำอะไรก็นึกในใจว่าพระเจ้าจะพอพระทัยหรือเปล่าน๊า??? เกรงว่าจะทำให้องค์พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเสียพระทัย และไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น
หมั่นตรวจดูความบาปในตนเอง เมื่อระลึกได้และรู้สึกผิดก็สารภาพบาปกับพระองค์เสมอๆ

เป้าหมายของชีวิตคริสเตียน คือ ชีวิตที่บังเกิดผล

มัทธิว 7:16-20 คือมาตรวัดผลของการดำเนินชีวิตในพระคริสต์;
7:16 ท่านจะรู้จักเขาได้ด้วยผลของเขา มนุษย์เก็บผลองุ่นจากต้นไม้หนามหรือ หรือว่าเก็บผลมะเดื่อจากต้นผักหนาม
7:17 ดังนั้นแหละต้นไม้ดีทุกต้นย่อมให้แต่ผลดี ต้นไม้เลวก็ย่อมให้ผลเลว
7:18 ต้นไม้ดีจะเกิดผลเลวไม่ได้ หรือต้นไม้เลวจะเกิดผลดีก็ไม่ได้
7:19 ต้นไม้ทุกต้นซึ่งไม่เกิดผลดีย่อมต้องถูกฟันลงและทิ้งเสียในไฟ
7:20 เหตุฉะนั้น ท่านจะรู้จักเขาได้เพราะผลของเขา

ในที่นี้พระองค์เปรียบเทียบเราทุกคนก็เหมือนต้นไม้ และพระองค์จะประเมินผลชีวิตของเรา ตามการเติบโตและบังเกิดผลที่ดีหรือเลว และพระองค์จะเลือกเอาเฉพาะผลดีเท่านั้น!!
เพราะ ต้นไม้ทุกต้นซึ่งไม่เกิดผลดีย่อมต้องถูกฟันลงและทิ้งเสียในไฟ (บึงไฟนรก)!!!

บางคนก็จะหาข้ออ้างมาหักล้างความจริงของพระเจ้า โดยการเลือกเอาข้อพระคัมภีร์ที่ตอนเองรู้สึกว่าเหมาะสมกับตนเองแล้วก็ตีความเอาเองแบบเข้าข้างตัวเองอีก เป็นการกล่าวอ้างและตีความข้อพระคัมภีร์เพื่อสร้างความเชื่อมั่นอย่างผิดๆ (False Assurance)
เช่น ยกเอาเอเฟซัส 2:8 “ด้วยว่าซึ่งท่านทั้งหลายรอดนั้นก็รอดโดยพระคุณเพราะความเชื่อ และมิใช่โดยตัวท่านทั้งหลายเอง แต่พระเจ้าทรงประทานให้” มาอ้างเพื่อเอาตัวรอดทางความรู้สึกแล้วก็ยังใช้ชีวิตในความบาป นอนรอความรอดด้วยความหวังใจเทียมๆ

ถูกต้องค่ะ ที่ความรอดเป็นของประทานจากพระเจ้าไม่ใช่ด้วยตัวเราทำเองได้ เพราะพระเยซูคริสต์ทำเสร็จแล้วบนไม่กางเขน เราไม่ต้องไปถูกแขวนอีก แต่โดยความเชื่อด้วยใจ ตัวเราคนเดิมก็ตายไปแล้วและก็ฟื้นขึ้นมาแล้วกับพระองค์ และได้ชีวิตใหม่ซึ่งหมายถึงการเปลี่ยนแปลงทิ้งของเก่าที่เน่าๆไปแล้ว ไม่ใช่ยังขลุกอยู่กับตัวเน่าๆตัวเก่านั่น
ขอให้คุณอ่านพระคัมภีร์ข้อนี้อย่างช้าๆ และอ่านอย่างพินิจ พิจารณาค่ะว่า
“รอดโดยพระคุณเพราะความเชื่อ” หมายความว่าอย่างไร??

พระคัมภีร์ข้อนี้เชื่อโยงกับข้อที่แล้วค่ะ จากหนังสือโรม10:10 “ด้วยว่าความเชื่อด้วยใจก็นำไปสู่ความชอบธรรม...”
ก็คือ เชื่อด้วยใจที่มีพระเจ้าเป็นศูนย์กลางของชีวิตนั่นล่ะค่ะ

“ด้วยว่าเวลาที่ผ่านไปในชีวิตของเราแล้วนั้น น่าจะเพียงพอสำหรับการกระทำสิ่งที่คนต่างชาติชอบกระทำ คราวเมื่อเราได้ดำเนินตามกิเลสตัณหา ตามใจปรารถนาอันชั่ว เมาเหล้าองุ่น เฮฮาเอะอะเอ็ดตะโรกัน เลี้ยงกันอย่างหรูหราฟุ่มเฟือย และการไหว้รูปเคารพอันเป็นที่น่าเกลียด”
1 เปโตร4:3

ความเชื่อที่ปราศจากการกระทำก็ตายแล้ว!!!
“พี่น้องของข้าพเจ้า แม้ผู้ใดจะว่าตนมีความเชื่อ แต่ไม่มีการกระทำ จะได้ประโยชน์อะไร ความเชื่อจะช่วยผู้นั้นให้รอดได้หรือ?” ยากอบ 2:14

ขอให้ทุกคนจำไว้ว่า ไม่มีใครสามารถตอบแทนพระเจ้าได้ว่าคุณรอดแล้ว
นอกจากพระองค์เอง เพราะพระองค์เองเท่านั้นที่เป็น"ผู้พิพากษา"

คุณลองคิดดูนะคะว่า การที่คุณจะเข้าไปในบ้านของใคร เขาจะต้องรู้จักคุณ ไม่ใช่แค่คุณรู้จักเขา สมมติว่าคุณจะบอกว่าคุณรู้จักโอบาม่าและใครๆก็รู้จักเขาเหมือนกัน แล้วคุณจะเข้าใปหาเขาที่บ้าน ถ้าเขาไม่รู้จักคุณ เขาจะเชิญคุณเข้าไปในบ้านเขามั๊ยคะ??
ทำนองเดียวกันค่ะ ถ้าเราจะไปบ้านพระเจ้า เราเองรู้จักพระองค์ และใครๆก็รู้จักพระองค์ รวมทั้งผีมารซาตานก็รู้จักและเชื่อว่าพระองค์เป็นพระเจ้าองค์เดียวพระองค์และก็กลัวจนตัวสั่น (ยากอบ 2:19)

คำถามคือ… พระองค์รู้จักเราหรือไม่?????

“มิใช่ทุกคนที่ร้องแก่เราว่า `พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า' จะได้เข้าในอาณาจักรแห่งสวรรค์
แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระทัยพระบิดาของเราผู้ทรงสถิตในสวรรค์จึงจะเข้าได้” มัทธิว 7:21
คุณได้คำตอบที่ชัดเจนแล้วใช่มั๊ยคะ

เรามาแสวงหาพระองค์อย่างสุดหัวใจกันเถอะค่ะ เพื่อว่าพระองค์จะรู้จักและจำเราได้

“จงแสวงหาพระยาห์เวห์ เมื่อจะพบพระองค์ได้
จงทูลพระองค์ ขณะพระองค์ทรงอยู่ใกล้” อิสยาห์55:6
ขอพระเจ้าพระบิดา โดยองค์พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงช่วยนำทางท่านผู้อ่านทุกท่านให้ดำเนินชีวิตวันต่อวัน ก้าวต่อก้าว ลมหายใจต่อลมหายใจ...
ขอพระองค์ทรงนำท่านให้กระทำแต่สิ่งที่ถูกต้องในสายพระเนตรของพระองค์...
และอยู่ในเส้นทางอันชอบธรรมของพระองค์ตลอดไปเป็นนิตย์...
ทั้งขอพระองค์ทรงเปิดเผยพระองค์ให้ทุกท่านได้เห็นพระองค์อย่างที่พระองค์ทรงเป็น
เพื่อทุกท่านจะรักและยำเกรงพระองค์อย่างสุดหัวใจตามที่พระองค์สมควรได้รับ..
เพื่อพระนามของพระองค์ และเพื่อถวายเกียรติแด่พระองค์แต่เพียงผู้เดียว
ข้าพเจ้าทูลขอในพระนามพระผู้ไถ่ของเรา
พระบุตรองค์เดียวของพระองค์
องค์พระมหาเยซูคริสต์เจ้า ...