วันจันทร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2552

เกิดอะไรที่ไม้กางเขน??


องค์จอมกษัตริย์พระผู้ไถ่


ด้วยความรักที่พระเจ้ามีต่อมวลมนุษย์จึงได้เกิดเหตุการณ์ที่เหนือธรรมชาติและเหนือคำบรรยายขึ้นที่ไม้กางเขน


เพราะพระเจ้าทรงเป็นความรัก เป็นความยุติธรรม และเป็นความชอบธรรม

เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ที่บังเกิดมา
เพื่อผู้ใดที่เชื่อในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์”
ยอห์น 3:16


“พระเจ้าไม่ทรงเห็นแก่คนมั่งคั่งมากกว่าคนยากจน

เพราะคนทั้งหมดนี้เป็นมาจากฝีพระหัตถ์ของพระองค์” โยบ 34:19


เพราะฉะนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าจะประทานหมายสำคัญเอง ดูเถิด หญิงพรหมจารีคนหนึ่งจะตั้งครรภ์ และคลอดบุตรชายคนหนึ่ง และเขาจะเรียกนามของท่านว่า อิมมานูเอล” อิสยาห์7:14


“ด้วยมีเด็กคนหนึ่งเกิดมาเพื่อเรา มีบุตรชายคนหนึ่งประทานมาให้เรา และการปกครองจะอยู่ที่บ่าของท่าน และท่านจะเรียกนามของท่านว่า "ผู้ที่มหัศจรรย์ ที่ปรึกษา พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระบิดานิรันดร์ องค์สันติราช” อิสยาห์ 9:6

พระเยซูคริสต์ คือพระอังกูร จะทรงประทับนั่งบนพระที่นั่งของกษัตริย์ดาวิด

“จะมีหน่อแตกออกมาจากตอแห่งเจสซี จะมีกิ่งงอกออกมาจากรากทั้งหลายของเขา และพระวิญญาณของพระยาห์เวห์จะอยู่บนท่านนั้น คือวิญญาณแห่งปัญญาและความเข้าใจ วิญญาณแห่งการวินิจฉัยและอานุภาพ วิญญาณแห่งความรู้และความยำเกรงพระยาห์เวห์ ความพึงใจของท่านก็ในความยำเกรงพระยาห์เวห์ ท่านจะไม่พิพากษาตามซึ่งตาท่านเห็น หรือตัดสินตามซึ่งหูท่านได้ยิน แต่ท่านจะพิพากษาคนจนด้วยความชอบธรรม และตัดสินเผื่อผู้มีใจถ่อมแห่ง แผ่นดินโลกด้วยความเที่ยงตรง ท่านจะตีโลกด้วยตะบองแห่งปากของท่าน และท่านจะประหารคนชั่วด้วยลมแห่งริมฝีปากของท่าน ความชอบธรรมจะเป็นผ้าคาดเอวของท่าน และความสัตย์สุจริตจะเป็นผ้าคาดบั้นเอวของท่าน” อิสยาห์11:1-5



เพราะพระเจ้าทรงเป็นความรักมั่นคง และอดทนนาน...

จึงเกิดเหตุการณ์ที่ไม้กางเขนที่เนินกลโกธา นอกกรุงเยรูซาเล็ม


ที่ในสวนเกทเสมณี....
พระเยซูอธิษฐานต่อพระบิดาว่า


"โอ พระบิดาของข้าพระองค์ ถ้าเป็นได้ขอให้ถ้วยนี้เลื่อนพ้นไปจากข้าพระองค์เถิด แต่อย่างไรก็ดี อย่าให้เป็นตามใจปรารถนาของข้าพระองค์ แต่ให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์" มัทธิว 26:39


“เมื่อพระองค์ทรงเป็นทุกข์มากนักพระองค์ยิ่งปลงพระทัยอธิษฐาน พระเสโท(เหงื่อ)ของ พระองค์เป็นเหมือนโลหิตไหลหยดลงถึงดินเป็นเม็ดใหญ่” ลูกา 22:44



ทำไมพระเยซูจึงร้องขอพระบิดา ว่า

“ถ้าเป็นได้ขอให้ถ้วยนี้เลื่อนพ้นไปจากข้าพระองค์เถิด”


อะไรอยู่ในถ้วยนั้น???


...ที่ทำให้พระองค์อยู่ในอารมณ์ที่ทุกข์หนักอย่างแสนสาหัสในฝ่ายวิญญาณ และพระองค์ได้ร้องขอต่อพระบิดาขอให้เลื่อนถ้วยนั้นไปก่อน..หากเป็นไปได้...และขณะเดียวกันนั้นพระองค์ยังได้ขอให้สาวกทั้งสามคนที่ไปด้วยคือ เปโตร ยอห์น และยากอบ ให้เฝ้าและอธิษฐานอยู่(อย่างไรก็ตาม เมื่อพระองค์กลับจากอธิษฐานทั้ง 3ครั้ง พวกเขาทั้งสามคนก็ยังหลับอยู่)


ลูกาได้บรรยายไว้ว่า ก่อนที่พระองค์จะไปอธิษฐานในครั้งที่สามนั้น ฑูตสวรรค์ได้ถูกส่งมาให้กำลังแก่พระองค์ (ลูกา 22:43) และหลังจากนั้นพระองค์ก็ทรงทุกข์หนักและพระองค์ทรงอธิษฐานอย่างหนักยิ่งขึ้นจนมีเหงื่อเป็นเลือดหยดลงบนพื้น (ลูกา 22:44) ผู้เขียนพระคัมภีร์ได้บรรยายบอกเป็นนัยว่า... พระองค์กำลังต่อสู้ฝ่ายวิญญาณอย่างหนัก กับความบาปที่กำลังก่อตัวขึ้นในจิตวิญญาณของพระองค์... พระองค์ทรงรู้สึกถึงโซ่ตรวนของความบาปได้มาพันรัดอัดแน่นอยู่รอบพระกายและพระวิญญาณของพระองค์ พระองค์ถูกอัดแน่น เหมือนกำลังอยู่ในความมืดมิดหมดหนทาง รู้สึกได้ถึงความหวาดกลัว กระวนกระวาย สิ้นหวัง หดหู่อย่างที่สุดเพราะความบาปของทั้งโลกที่พระองค์กำลังแบกรับอยู่นั้น และพระองค์ก็คาดการณ์ล่วงหน้าถึงการที่พระองค์จะต้องถูกตัดขาดความสัมพันธ์จากพระบิดา เพราะความบาปที่พระองค์แบกรับอยู่นั้นจึงทำให้พระองค์ทรงทุกข์หนักจนเหงื่อกลายเป็นเลือด...

พระเยซูทรงทราบว่าถ้วยนั้นคือ.. ถ้วยแห่งพระพิโรธของพระเจ้าพระบิดา !!! เป็นถ้วยแห่งการพิพากษาอย่างยุติธรรมและตรงไปตรงมา ในถ้วยนี้ไม่มีความเมตตาอยู่เลย เป็นการพิพากษาตัดสินลงโทษความบาปผิดของมนุษย์ทั้งโลกล้วนๆ การลงโทษความบาปทั้งหมดนี้จะต้องมาตกอยู่ที่พระองค์แต่เพียงผู้เดียว ซึ่งเพื่อบรรลุพันธกิจที่พระบิดาใช้พระองค์มาทำนั้น พระองค์จะต้องดื่มถ้วยนั้นจนหมดไม่ให้เหลือแม้แต่หยดเดียว!

และพระเยซูเองได้บอกกับเหล่าสาวกล่วงหน้าแล้ว หลังจากรับประทานปัสกากับพวกเขาในคืนนั้นว่า.. "ในคืนวันนี้ท่านทุกคนจะทิ้งเราเพราะเรา ด้วยมีคำเขียนไว้ว่า `เราจะตีผู้เลี้ยงแกะ และแกะฝูงนั้นจะกระจัดกระจายไป' มัทธิว 26:31


และพระองค์ทรงทราบว่า ด้วยพระประสงค์ของพระบิดาที่ต้องการไถ่มนุษยชาติจากความบาปที่เกิดขึ้นเมื่อครั้งที่อาดัมได้ทำผิดต่อพระเจ้านั้น ซึ่งทุกคนที่เกิดมาภายหลัง ก็เกิดมาในความบาปทั้งสิ้นและมีชีวิตในความบาปโดยไม่รู้ตัว


มนุษย์ทั้งโลกตกอยู่ในความบาปและนี่คือสิ่งที่พระเจ้ามองเห็นมนุษย์เมื่อครั้งที่พระเยซูยังไม่มาไถ่บาป :


“…ไม่มีผู้ใดเป็นคนชอบธรรมสักคนเดียว

ไม่มีเลยไม่มีคนที่เข้าใจ

ไม่มีคนที่แสวงหาพระเจ้าเขาทุกคนหลงทางไปหมด
เขาทั้งปวงเป็นคนไร้ค่าเหมือนกันทั้งสิ้น
ไม่มีสักคนเดียวที่ทำดี

ไม่มีเลยลำคอของเขาคือหลุมฝังศพที่เปิดอยู่
เขาใช้ลิ้นของเขาในการล่อลวง
ภายใต้ริมฝีปากของเขามีพิษของงูร้าย

ปากของเขาเต็มด้วยคำแช่งด่าและคำขมขื่น

เท้าของเขาว่องไวในการทำให้นองเลือด

ในทางเดินของเขามีความพินาศและความทุกข์

และเขาไม่รู้จักทางแห่งสันติสุขในแววตาของเขาไม่มีความเกรงกลัวพระเจ้า'
โรม 3:10-18
“เพราะว่าทุกคนทำบาปและเสื่อมถอยจากพระเกียรติสิริของพระเจ้า” (โรม 3:23) และเพราะสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างได้ถูกทำให้ผิดเพี้ยน ไร้ค่าไป ไม่ใช่ด้วยความสมัครใจของมันเอง แต่โดยความตั้งใจของผู้ที่บังคับ (ซาตาน)ให้มันต้องตกอยู่ในภาวะดังกล่าว (โรม 8:19)

ด้วยมนุษย์นั้นดำเนินชีวิตอยู่ในความบาป และความบาปนั้นก็มาปิดกั้นความสัมพันธ์ที่มนุษย์เคยมีต่อพระเจ้า

จริงๆแล้วพระเจ้าได้ใส่ความรู้เรื่องของพระองค์ไว้ในจิตใจของมนุษย์ทุกคนอยู่แล้ว ลึกๆในใจ มนุษย์ทุกคนรู้ดีว่ามีพระเจ้า แต่ความบาป ความมืดดำและการล่อลวงอันแยบยลของเจ้าผู้ครองโลก (ซาตานและลูกสมุนของมัน)นั้นได้พยายามปิดหูปิดตามนุษย์ให้หลงลืมเรื่องของพระผู้สร้างของเขา และ “เขาใช้ความชั่วร้ายปิดกั้นความจริง (เรื่องพระเจ้า)” โรม 1:18


และ“แม้เขาจะรู้จักพระเจ้า แต่พวกเขาก็ไม่ได้ถวายพระเกียรติสิริแด่พระองค์สมกับที่ทรงเป็นพระเจ้า ทั้งยังไม่ได้ขอบพระคุณ แต่กลับคิดในสิ่งไร้สาระ และจิตใจอันโง่เขลาของพวกเขาก็มืดมัวไป” โรม 1:21

แต่ด้วยพระเมตตาอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ที่มีต่อมวลมนุษยชาติ...
และเพราะพระเจ้าทรงดำรงในความยุติธรรม...


ซึ่ง“บาปนั้นได้เข้ามาในโลกเพราะมนุษย์คนเดียว (คืออาดัม) และบาปนำความตายมา และโดยทางนี้เองความตายจึงมาถึงมวลมนุษย์เพราะทุกคนได้ทำบาป” โรม 5:12


และแม้ว่า... “ค่าตอบแทนของความบาปคือความตาย” (โรม 6:23) คือจะต้องมีการตายเกิดขึ้นเพื่อทดแทนความบาปของมวลมนุษย์ แต่พระเจ้าพระบิดาทรงรักมนุษย์มาก แม้ว่าพระองค์ทรงเห็นแล้วว่าไม่มีผู้ใดเลยที่ชอบธรรมในสายพระเนตรของพระองค์ (โรม 3:10-18) และ “มนุษย์ทุกคนก็เป็นเหมือนลูกแกะที่พลัดหลงไปจากฝูง แต่ละคนก็หันไปตามทางของตน” (อิสยาห์ 53:6)


อย่างไรก็ตามพระองค์ก็ไม่อยากให้มนุษย์ต้องตาย หรือหลงหายอยู่ในโลกที่มืดมิดอีกต่อไป
พระองค์ต้องการ พาเราทุกคนกลับบ้านที่เที่ยงแท้ถาวร


พระองค์ไม่ต้องการให้ผู้ใดต้องตกลงไปในบึงไฟนรกเพราะการตายและถูกตัดขาดจากพระเจ้า

พระองค์ต้องการให้มนุษย์กลับมามีความสัมพันธ์กับพระองค์เหมือนครั้งที่ทรงสร้างอาดัมและเอวาในสวนเอเดนนั้น


...มนุษย์ที่พระองค์ทรงรักมากกว่าสิ่งที่ทรงสร้างทุกชนิด
มนุษย์ที่พระองค์ทรงปั้นด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เองให้มีรูปลักษณ์เหมือนพระองค์
...เพราะพระองค์ไม่ต้องการให้มนุษย์ตายไปจากพระสิริของพระองค์...


พระองค์จึงได้เสียสละพระบุตรของพระองค์มาตายแทนการตายมนุษย์ทั้งโลก!!!



พระเยซู... พระองค์ทรงบริสุทธิ์ และปราศจากความบาปโดยสิ้นเชิง

เพื่อสำแดงความยุติธรรม..พระบิดาจึงได้ใช้ให้พระองค์เข้ามาในโลก...


พระเยซูมาในรูปลักษณ์ที่เหมือนพวกเราทุกคนเพราะมนุษย์นั้นมีความบาปโดยผ่านทางเนื่อหนัง “พระเจ้าทรงใช้พระบุตรของพระองค์มาในสภาพเช่นเดียวกับมนุษย์ ที่เป็นคนบาป เพื่อเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป โดยการกระทำเช่นนี้พระองค์จึงได้ตัดสินลงโทษบาปในมนุษย์ที่อยู่ในเนื้อหนัง” โรม 8:3



การเสด็จมาในโลกของพระองค์เมื่อสองพันกว่าปีที่แล้วนั้น ก็เพื่อทำพันธกิจอันยิ่งใหญ่เพื่อกอบกู้มวลมนุษยชาติให้พ้นจากบาปและจากความตายซึ่งเป็นผลตอบแทนของความบาปนั้น และเพื่อมนุษย์จะได้กลับมามีความสัมพันธ์กับพระเจ้าเหมือนเมื่อครั้งที่พระองค์ทรงสร้างโลกใหม่ๆ

พระองค์มาแบกรับความบาปผิดทั้งหมดทั้งสิ้นของมนุษย์ทั้งโลกไว้ที่พระองค์เอง

...ทั้งๆที่ พระองค์เองไม่มีความบาปเลย แม้แต่เพียงเล็กน้อยก็ไม่มีเลย...


เป็นน้ำพระทัยของพระยาห์เวห์ที่จะให้ท่าน(พระเยซูคริสต์)ฟกช้ำด้วยความระทมทุกข์ เมื่อพระองค์ทรงกระทำให้วิญญาณของท่านเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป...” อิสยาห์53:10



ซึ่งเหตุการณ์คล้ายๆ สิ่งเดียวกันนี้ พระเจ้าได้ทรงบอกเป็นนัยๆ ก่อนแล้วเมื่อครั้งที่พระองค์ทรงสั่งให้อับราฮัมนำอิสอัคบุตรชายคนเดียวของท่านไปเผาบูชาบนแท่นบูชา แต่นั่นพระเจ้าทรงใช้เพื่อทดสอบความเชื่อของท่าน และเมื่อพระองค์ทรงเห็นการเชื่อฟังของอับราฮัมแล้ว จึงได้จัดเตรียมลูกแกะไว้ให้เผาบูชาแทน (ปฐมกาล 22) แต่เหตุการณ์ครั้งนั้นเป็นการบอกล่วงหน้าเรื่องการลบล้างบาปโดยพระบุตรองค์เดียวของพระองค์เอง


พระบิดาทรงทราบเสมอว่าการทรงไถ่มวลมนุษยชาติที่เต็มไปด้วยสิ่งที่น่าสะอดสะเอียนนั้น... มีเพียงความบริสุทธิ์ของพระเจ้าเท่านั้นที่จะสามารถลบล้างได้ องค์พระเยซูยังทราบอีกว่า พระบิดาเกลียดความบาป เพราะ“ความชั่วช้า (บาป)ของเจ้าทั้งหลายได้กระทำให้เกิดการแยกระหว่างเจ้ากับพระเจ้า...” อิสยาห์ 59:2


และด้วยพระเยซูทรงรักพระบิดามาก พระองค์ไม่ต้องการถูกตัดขาดความสัมพันธ์เลยแม้แต่เสี้ยววินาที พระองค์จึงร้องขอว่า “ถ้าเป็นได้ขอให้ถ้วยนี้เลื่อนพ้นไปจากข้าพระองค์เถิด”


พระเยซูแม้พระองค์มาเกิดเป็นมนุษย์ แต่พระองค์ทราบแผนการของพระบิดาในเรื่องการทรงไถ่มาตลอด พระองค์ทรงรักและเชื่อฟังพระบิดาทุกอย่าง และพระองค์ไม่ได้กลัวความตาย เหมือนที่มนุษย์ทั่วไปกลัว หรืออย่างที่หลายคนเข้าใจ แต่..

“พระองค์กลัวการถูกตัดขาดความสัมพันธ์จากพระบิดา” ต่างหาก เพราะพระบิดาและพระบุตรนั้นมีความแนบสนิทเป็นหนึ่งเดียวมาตลอด และการถูกตัดขาดแม้เพียงเสี้ยววินาที่เดียวก็ไม่เป็นที่ปรารถนาของทั้งพระบุตรและพระบิดาเลย แต่พระองค์ก็ต้องเชื่อฟังพระบิดา และทำตามน้ำพระทัยพระองค์ เพื่อพันธกิจการทรงไถ่มวลมนุษย์ชาติอันยิ่งใหญ่จะสำเร็จตามพระประสงค์

หลังจากอธิษฐานที่สวนเกทเสมณี พระองค์ไม่ได้งีบหลับเลยตลอดทั้งคืนนั้น และทันใดนั้นพระองค์ก็ถูกจับไปและสาวกของพระองค์ก็ทิ้งพระองค์ไปหมด พระองค์ถูกนำไปสอบสวนหาความผิด ถูกถ่มน้ำลายรดหน้า ถูกเฆี่ยนตีอย่างทารุณโดยทหารโรมัน
ถูกดูถูกเหยียดหยามจากชาวยิวที่ไม่เชื่อว่าพระองค์เป็นพระเมสสิยาห์

สภาพของพระองค์ในเวลานั้นเป็นไปตามที่ได้บรรยายไว้แล้วจากบรรดาผู้เผยพระวจนะตั้งแต่โบราณกาล;

“ด้วยคนเป็นอันมากตะลึงเพราะท่านฉันใด หน้าตาของท่านเสียโฉมมากกว่ามนุษย์คนใด
และรูปร่างของท่านก็เสียโฉมมากกว่าบุตรทั้งหลายของมนุษย์คนใด”
อิสยาห์ 52:14

“ท่านได้ถูกมนุษย์ดูหมิ่นและทอดทิ้ง เป็นคนที่รับความเศร้า
โศกและคุ้นเคยกับความระทมทุกข์
และดังผู้หนึ่งซึ่งคนทนมองดูไม่ได้
ท่านถูกดูหมิ่น

และเราทั้งหลายไม่ได้นับถือท่าน

แน่ทีเดียวท่านได้แบกความระทมทุกข์ของเราทั้งหลาย
และหอบความเศร้าโศกของเราไป
กระนั้นเราทั้งหลายก็ยังถือว่าท่านถูกตี
คือพระเจ้าทรงโบยตีและข่มใจ

แต่ท่านถูกบาดเจ็บเพราะความละเมิดของเราทั้งหลาย
ท่านฟกช้ำเพราะความชั่วช้าของเรา
การตีสอนอันทำให้เราทั้งหลายปลอดภัยนั้นตกแก่ท่าน...
ท่านถูกบีบบังคับและท่านถูกข่มใจ
ถึงกระนั้นท่านก็ไม่ปริปาก
เหมือนลูกแกะที่ถูกนำไปฆ่า
และเหมือนแกะที่เป็นใบ้อยู่หน้าผู้ตัดขนของมันฉันใด
ท่านก็ไม่ปริปากของท่านเลยฉันนั้นท่านถูกนำไปจากคุก

และท่านไม่ได้รับความยุติธรรมเสียเลย
และผู้ใดเล่าจะประกาศเกี่ยวกับพงศ์พันธุ์ของท่าน
เพราะท่านต้องถูกตัดออกไปจากแผ่นดินของคนเป็น
ต้องถูกตีเพราะการละเมิดของชนชาติของเรา”
อิสยาห์ 53:3-5, 7-8


ที่บนไม้กางเขน



พระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขนตั้งแต่ 9 โมงเช้าของวันศุกร์

และทรงสิ้นพระชนม์เวลาบ่ายสามโมงในวันเดียวกัน


6 ชั่วโมงแห่งการทนทุกข์ทรมานอย่างที่สุดบนไม้กางเขนที่ต่อเนื่องมาจากการไม่ได้หลับเลยทั้งคืน ทั้งยังถูกเฆี่ยนตีอย่างแสนสาหัส ถูกดูถูกเหยียดหยาม ดูหมิ่นดูแคลนต่างๆนาๆ ทั้งๆที่พระองค์ไม่เคยทำความบาปเลย

  • ในฝ่ายร่างกายนั้น: พระองค์ทรงเหน็ดเหนื่อยและเจ็บปวดทรมานจากบาดแผลที่ถูกเฆี่ยนตีและพระองค์ไม่ได้นอนมาทั้งคืน ความอ่อนระโหยโรยแรงจากการแบกไม้กางเขนที่หนักอึ้ง ผ่านหาทางอันขรุขระ ล้มลุกคลุกคลานตั้งแต่จากในเมืองออกมาที่เขากลโกธาซึ่งเป็นระยะทางที่ไกลมาก และในระหว่างทางนั้นก็มีทหารโรมัน รวมทั้งชาวยิวและพวกฟาริสีที่เกลียดชังพระองค์คอยติดตาม ด่าทอ เสียดสี และเหยียดหยามพระองค์มาตลอดเส้นทาง

เมื่อมาถึงเขากลโกธานั้น พระองค์ก็ต้องทนต่อความเจ็บปวดจากการถูกตอกตะปูที่มือและเท้า และจากน้ำหนักตัวที่ถ่วงจากการตรึงมือและเท้าบนไม้กางเขนนั้น ทำให้พระองค์ต้องออกแรงต้านอย่างหนักเพื่อที่จะหายใจได้ในแต่ละครั้ง อีกทั้งยังอยู่ท่ามกลางแสงแดดที่แผดเผา ร้อนแรงและกระหาย ที่ศีรษะของพระองค์มีมุงกุฎหนามที่ถูกพวกทหารโรมันนำมาสวมให้เพื่อล้อเลียนพระองค์ซึ่งมันทิ่มแทงศีรษะพระองค์และมีพระโลหิตไหลออกมา พระองค์ต้องเจ็บปวดทรมานจากบาดแผลตามตัวที่ถูกเฆี่ยนนั้น ไม่มีคนบาปคนไหนเลยในโลกที่ถูกกระทำการทารุณทั้งทางร่างกายและจิตใจมากมายเยี่ยงพระองค์

  • ฝ่ายวิญญาณ:...ที่บนไม้กางเขนนั้น พระเยซูทรงแบกรับความบาปของมวลมนุษยชาติไว้จนหนักอึ้ง พระองค์รับรู้ความรู้สึกทั้งหมดของคนที่ตกอยู่ในความบาป
    ความหวาดกลัว ความอับอาย การรู้สึกผิด การเกลียดชังตัวเองเพราะความบาป ความทุกข์ใจ ความสับสน ความกระวนกระวายใจ ความเศร้าสลด หดหู่และสิ้นหวังอย่างที่สุด ของคนทั้งโลกที่มากองรวมกันไว้ที่พระองค์เพียงผู้เดียว คุณลองจินตนาการดูว่า...แม้ในความระทมทุกข์ของเราลำพังเพียงคนเดียวนั้น บางครั้งที่เรามองไปทางใดก็มืดมนไปหมด ไม่เห็นแสงสว่าง หาทางออกไม่เจอ ด้วยความทุกข์แสนสาหัสนั้น บางคนถึงกับอยากฆ่าตัวตายตายให้รู้แล้วรู้รอดไป


แล้วความทุกข์และความบาปผิดที่ท่วมท้นของมนุษย์ทั้งโลก ที่ได้ไปกองอยู่บนบ่าของพระองค์เพียงผู้เดียวจะหนักกว่านั้นสักเพียงใด ????

และการถูกทอดทิ้งจากพระบิดาที่รักของพระองค์นั้นทำให้จิตใจของพระองค์ ถูกโอบล้อมไปด้วยความสิ้นหวัง และโดดเดี่ยว ไม่มีที่พึ่งเลย ทั้งๆที่โดยปกติแล้วพระองค์แนบสนิทเป็นหนึ่งเดียวกับพระบิดา และพึ่งพาพระบิดามาโดยตลอด!

ด้วยในช่วงเวลานั้นพระบิดาใด้ทิ้งพระองค์ไป เพราะความบาปที่ท่วมทับในพระองค์
ในชั่วขณะหนึ่งของความโกรธ เราเบือนหน้าหนีไปจากเจ้า” (อิสยาห์ 54:8)


ด้วยความบาปทั้งมวลนั้นเป็นสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า เพราะพระองค์ทรงเกลียดความบาปแม้ว่าความบาปนั้นจะอยู่ที่พระบุตรของพระองค์เองก็ตาม


เพราะ “คนโอ้อวด (คนบาป) ไม่อาจยืนอยู่ต่อหน้าพระองค์ได้

พระองค์ทรงเกลียดชังผู้กระทำความชั่วช้าทั้งสิ้น” สดุดี5:5

ในวันนั้น เกิดความมืดมัวไปทั่วทั้งแผ่นดินตั้งแต่เที่ยงวันไปจนถึงบ่ายสามโมง


ราวบ่ายสามโมงพระองค์ร้องเสียงอันดังว่า “เอโลอี เอโลอี สะบักธานี” ซึ่งแปลว่า “พระเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์ ทำไมทรงทอดทิ้งข้าพระองค์” (มัทธิว 27:45-46)


เมื่อพระองค์ทรงทราบว่าทุกสิ่งสำเร็จครบถ้วน...ณ เวลานั้นโดยฝ่ายวิญญาณ พระองค์ก็ได้ดื่มถ้วยพระพิโรธของพระบิดาจนหมดทุกหยดแล้ว
และพระองค์จึงตรัสว่า “สำเร็จแล้ว! (ยอห์น 19:28, 30)

และขณะนั้นเองม่านในพระวิหารก็ขาดเป็นสองท่อนตั้งแต่บนจรดล่าง เกิดแผ่นดินไหว ศิลาแตกออกจากกัน” (มัทธิว 27:51)


การสิ้นพระชนม์ของพระเยซูที่ไม้กางเขนนั้น เป็นการชนะอำนาจวิญญาณชั่วร้าย ชนะความบาปและชนะความตายทั้งสิ้นที่พวกบรรดาผีมารซาตาน เทพผู้ครอง ศักดิเทพ อิทธิเทพ และเทพต่างๆ ได้นำเข้ามาสู่โลกมนุษย์ตั้งแต่ครั้งที่ซาตานได้ตกลงมาจากสวรรค์เมื่อครั้งโบราณกาล



“...โดยความตายพระองค์จะได้ทรงทำลายผู้นั้นที่มีอำนาจแห่งความตาย คือพญามาร(ซาตาน/Lucifer/the watcher/Baal/Sun God/Moon God/พระแปลกๆ/เจ้าพ่อเจ้าแม่ต่างๆ/ผีป่าผีเขาหรือสารพัดผีทีคนกราบไหว้ ฯลฯ)และจะได้ทรงช่วยเขาเหล่านั้น(หมายถึงชาวมนุษย์โลก)ให้พ้นจากการเป็นทาส (ทาสของความบาปที่เหล่าซาตานพาทำ)ชั่วชีวิต
เนื่องจากกลัวความตาย”
ฮีบรู 2:14-15
พระองค์ถูกนำไปวางไว้ในอุโมงค์ใหม่ และใช้หินกลิ้งปิดปากอุโมงค์ไว้ (มัทธิว 27:60)

และหลังจากนั้น 3 วัน พระบิดาได้ทำให้พระองค์ฟื้นขึ้นมาจากความตาย (มัทธิว 28)... เพราะพระเจ้าทรงตรัสไว้ว่า...“เราทอดทิ้งเจ้าชั่วประเดี๋ยวหนึ่ง แต่ด้วยความเมตตาอย่างลึกซึ้ง เราจะพาเจ้ากลับมา” อิสยาห์ 54:7

ทั้งหมดนี้เป็นการแสดงออกถึงความยุติธรรมและความรักอันยิ่งใหญ่ที่พระเจ้ามีต่อมนุษย์ทุกคนโดยผ่านทางพระบุตรของพระองค์คือองค์พระเยซูคริสต์

พระเยซูทรงถูกใช้โดยพระบิดาให้มาไถ่บาปของมวลมนุษยชาติ และพระองค์ได้ทำสำเร็จแล้วบนไม้กางเขนนั่น!!!!


***ความผิดบาปโดยอาดัม ความชอบธรรมโดยพระคริสต์***



“เพราะว่าถ้าโดยการละเมิดของคนนั้นคนเดียว เป็นเหตุให้ความตายครอบงำอยู่โดยคนนั้นคนเดียว มากยิ่งกว่านั้นคนทั้งหลายที่รับพระคุณอันไพบูลย์และรับของประทานแห่งความชอบธรรม ก็จะดำรงชีวิตและครอบครองโดยพระองค์ผู้เดียว คือพระเยซูคริสต์)ฉะนั้นการพิพากษาลงโทษได้มาถึงคนทั้งปวงเพราะการละเมิดของคนๆเดียวฉันใด ความชอบธรรมของพระองค์ผู้เดียวก็นำของประทานแห่งพระคุณมาถึงทุกคนฉันนั้น คือความชอบธรรมแห่งชีวิต” โรม 5:17-18


ม่านในพระวิหารขาด เมื่อพระองค์ทำสำเร็จนั้น แสดงถึงการที่พระองค์ทรงเป็นสื่อกลางเป็นปุโรหิตหลวงให้เราได้คืนดีกับพระเจ้าโดยผ่านทางพระนามของพระองค์ การติดต่อกับพระเจ้าไม่ต้องใช้ปุโรหิตที่เป็นมนุษย์อีกต่อไป...



ต่อจากนี้ก็เป็นหน้าที่ของเราว่าเราจะรับความรอด ความรักและความเมตตา โดยการกลับมามีความสัมพันธ์กับพระเจ้าหรือไม่???



“เพราะว่าคนเป็นอันมากเป็นคนบาปเพราะคนๆเดียวที่มิได้เชื่อฟังฉันใด
คนเป็นอันมากก็เป็นคนชอบธรรมเพราะพระองค์ผู้เดียว (พระเยซู)ที่ได้ทรงเชื่อฟังฉันนั้น”
โรม5:19


ขอเชิญชวนให้พวกเรา มนุษย์ทุกคนกลับมาให้ถึงบ้านแท้ของเราโดยทางพระองค์....


ด้วยพระเยซูตรัสว่า "เราเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาได้นอกจากมาทางเรา ยอห์น 14:6


การสิ้นพระชนม์ของพระเยซูที่บนไม้กางเขนนั้น และการเป็นขึ้นมาจากความตายของพระองค์นั้น เป็นเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่และสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ


…ซึ่งสิ่งที่เป็นไปทั้งหมดนั้น ไม่สามารถบรรยายให้เข้าใจอย่างลึกซึ้งทั้งหมดได้ด้วยภาษาของมนุษย์เพราะเป็นพันธกิจเหนือธรรมชาติที่ทำสำเร็จได้โดยพระเจ้าเท่านั้น!!

เป็นเรื่องการไถ่วิญญาณของมนุษย์ซึ่งโดยธรรมชาตินั้นเป็นสิ่งที่เป็นอมตะหรือไม่มีวันตาย และเราผู้ซึ่งตอบสนองต่อการทรงไถ่ของพระเจ้าด้วยสุดหัวใจนั้น เมื่อเราละจากกายเนื้อนี้แล้ว พระเจ้าก็จะรับจิตวิญญาณของเราให้กลับอยู่กับพระองค์พระผู้สร้างของเราคือองค์นิรันดร์ในแผ่นดินสวรรค์

ด้วยเหตุนี้เอง ผู้เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริงจึงไม่กลัวความตาย เพราะสันติสุขและความชื่นชมยินดีแห่งการได้มีชีวิตนิรันดร์และการได้กลับไปอยู่กับพระผู้สร้างนั้นเป็นความหวังใจของเราทุกคนในชีวิตหลังความตาย และขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่นั้น เราจึงมีชีวิตอยู่ในความหวังอันหวังได้จริงๆ ทั้งยังอยู่ในความรัก ในกำลัง ในฤทธิ์เดชและในพระคุณของพระเจ้า

บางคนถามว่า ผู้ชายเพียงคนเดียวสามารถไถ่บาปมนุษย์ทั้งโลกได้หรือ?


และถามว่า ทำไมต้องเป็นพระเยซู??

คำตอบเดียวคือ..
เลือดและเนื้อของพระเยซูสามารถลบล้างบาปทั้งหมดของมนุษย์ได้... เพราะว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า...องค์บริสุทธิ์...บริสุทธิ์...และบริสุทธิ์... จึงสามารถทดแทนความบาปของมนุษย์ทั้งโลกได้!!!
เพราะพระเยซูได้ถวายชีวิตพระองค์เองเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปเพื่อสำแดงความยุติธรรมของพระเจ้าอันเนื่องมาจากผลตอบแทนของความบาปคือความตายนั้น เพื่อไถ่ชีวิตมนุษย์ทุกคนกลับคืนมาจากความบาปนั้น พระองค์ได้ทำเสร็จเรียบร้อยหมดแล้วที่บนไม้กางเขนนั่น ส่วนเราทุกคนที่เป็นเพียงมนุษย์ที่อ่อนแอที่พ่ายแพ้ต่อบาปมาตลอดนั้น เมื่อเราเชื่อในพระองค์จากใจของเราจริงๆและนำคำสอนของพระองค์ไปปฏิบัติในการดำเนินชีวิตประจำวันของเราแล้ว เราก็มั่นใจได้ว่าเราจะไม่พรากจากพระเจ้าอีกเลย

"บัดนี้ เราจึงเป็นคนชอบธรรม
โดยพระโลหิตของพระองค์
ยิ่งกว่านั้น
เราจะพ้นจากพระพิโรธโดยพระองค์"
โรม 5:9


“ดังที่พระองค์ได้ทรงโปรดให้พระบุตรมีอำนาจเหนือเนื้อหนังทั้งสิ้น เพื่อให้พระบุตรประทานชีวิตนิรันดร์แก่คนทั้งปวงที่พระองค์ทรงมอบแก่พระบุตรนั้น และนี่แหละคือชีวิตนิรันดร์ คือที่เขารู้จักพระองค์ ผู้ทรงเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียว และรู้จักพระเยซูคริสต์ที่พระองค์(หรือพระยาห์เวห์พระบิดา)ทรงใช้มา”
ยอห์น 17:2-3





Holy...Holy...Holy!!!! เราขอสรรเสริญพระผู้ไถ่ของเราว่า บริสุทธิ์ บริสุทธิ์ พระเจ้าองค์บริสุทธิ์ องค์จอมกษัตริย์พระผู้ไถ่ของเรา ฮาเลลูยา....



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น